บทที่ 2 อ้อมกอดร้าย บทที่ 2
“ผมอธิบายได้นะครับลุงพะยอม ป้าเครือมาศ มันไม่ได้เป็นอย่างที่ลุงกับป้าเข้าใจ”
“แบบนี้ไม่ได้นะพ่อเลี้ยง” เครือมาศ มารดาของหทัยภัทรแย้งขึ้น “พ่อเลี้ยงเข้ามาอยู่ในห้องเดียวกับพริ้มทั้งคืน นี่ถ้ารู้ไปถึงไหนฉันอายเขาไปถึงนั่น”
“แม่...พริ้มกับพ่อเลี้ยงแค่ตื่นขึ้นมา...แล้วก็...”
“แต่ก็อยู่ในห้องเดียวกันทั้งคืนอย่างนี้ แบบนี้มันผิดผีแล้วรู้ไหม”
เครือมาศหันมาทางลูกสาวและพูดเสียงเครือ ตอนนั้นเองไตรทศก็พูดขึ้น
“ผมขอรับประกันเลยนะครับว่ามันไม่ได้มีอะไร ผมยอมรับว่ากินเหล้าเมา แล้วก็...”
“พ่อเลี้ยงอยากจะพูดอะไรก็ได้ แต่คนที่เสียหายคือลูกสาวของฉัน ถ้าเป็นแบบนี้แล้วพ่อเลี้ยงต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นนะ”
“รับผิดชอบหรือครับ?”
“ใช่...พ่อเลี้ยงต้องรับพริ้ม ลูกสาวฉันเป็นเมียให้ถูกต้อง เพราะนี่น่ะแม่ยินดี เพื่อนบ้านของฉันเขาก็เป็นพยานอยู่ทั้งคนนะ”
ทั้งไตรทศและหทัยภัทรจ้องไปที่ป้ายินดี เพื่อนบ้านหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพยอมและเครือมาศเป็นตาเดียวกัน
“พ่อเลี้ยงครับ...พ่อเลี้ยงต้องรับพริ้มเป็นเมียนะครับ เพราะถ้าขืนเป็นแบบนี้แล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พ่อเลี้ยงเข้าไปอยู่กับลูกสาวผมในห้องเดียวกันทั้งคืน เอาเป็นว่าจัดเลี้ยงทำบุญเล็ก ๆ ขอแค่อย่าให้ชาวบ้านมาว่าลูกสาวผมเอาได้ก็แล้วกัน”
เสียงดังหนักแน่นของพยอม บิดาหทัยภัทรในวันนั้นนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่เธอเองก็ไม่คาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้นเหมือนสายฟ้าแล่บ
ไตรทศไม่เถียงและโต้แย้ง เขาได้แต่เงียบเสมือนว่ายอมรับความผิดของตัวเองที่เผลอกระทำลงไปโดยไม่ตั้งใจ เธอเองก็รู้ดีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในคืนวันนั้น
แค่พ่อเลี้ยงเมาแล้วเข้าไปนอนหลับในห้องของเธอ แต่ในเมื่อผู้ใหญ่ไม่ยอมทั้งที่เธอก็พยายามอธิบาย หทัยภัทรไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะเธอต้องเผชิญกับความเย็นชาของพ่อเลี้ยงหนุ่ม ตั้งแต่วันจัดพิธีแต่งงานเขาก็ไม่ยอมพูดอะไรกับเธอเลย
บทที่ 2
ก็แค่คนใกล้
ค่ำลงหทัยภัทรก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติ หลังเก็บจานชามในครัวของบ้านไม้สักทองหลังใหญ่แต่เงียบเหงาเพราะเหลือเพียงเธออยู่คนเดียว
หญิงสาวก็กลับเข้าไปในห้องนอนกับความรู้สึกอ้างว้าง ร่างแน่งน้อยพาตัวเองไปหยุดที่เตียงกว้างและยืนมองนิ่ง นึกถึงคืนที่ผ่านมา
ทั้งที่เป็นคืนแรกหลังพิธีแต่งงานของเธอและไตรทศผ่านพ้นไปโดยมีญาติผู้ใหญ่เพียงไม่กี่คนเข้ามาร่วมเป็นสักขีพยาน พ่อเลี้ยงไม่พูดกับเธอสักคำ
หนำซ้ำหทัยภัทรต้องคอยหลบสายตาคมคู่นั้นที่จ้องมองมาเหมือนเขาเองยังทำใจไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น แววตาของเขาแสดงออกชัดเจนถึงความผิดหวัง หลังทุกคนกลับไปจนหมดยังเหลือเพียงเธอกับเขา ไตรทศก็แสดงความชิงชังรังเกียจออกมาอย่างไม่ไว้หน้า
“อยากนอนบนที่นอนโรยกลีบกุหลาบนี่นักก็เชิญนอนไปคนเดียวเถอะ”
“แล้วพ่อเลี้ยงจะไปนอนที่ไหนคะ”
“ผมจะนอนบนพื้น”
“แต่อากาศกลางคืนหนาวมากนะคะ”
“หนาวแค่ไหนก็ยังดีกว่านอนอยู่ใกล้คนที่ผมไม่อยากอยู่ด้วย!”
คำพูดของเขายิ่งกว่าลงแส้เฆี่ยนตีหทัยภัทรให้เจ็บปวดตลอดเวลา การแสดงออกของเขามันชัดแจ้งว่าทั้งรังเกียจและไม่อยากเข้าใกล้เธอขนาดไหน
นี่ถ้าทำได้เขาอาจจะสาปส่งเธอให้หายไปจากโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอด ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังต้องอดทน เธอรู้ว่าเขาเสียใจและคงยังลืม รติมา ญาติผู้พี่ของเธอไม่ได้
ร่างเล็กจัดผ้าปูที่นอนเรียบร้อยแล้วก็จัดที่นอนให้ไตรทศซึ่งเมื่อเหลือบดูนาฬิกาบนผนังก็เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม เขายังไม่กลับเข้ามาในบ้าน
หญิงสาวได้แต่นั่งถอนหายใจบนฟูกบนพื้นข้างเตียงซึ่งเป็นที่นอนของพ่อเลี้ยง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ หน้าจอปรากฏชื่อสายเรียกเข้าที่เธอต้องรีบรับอย่างไว เสียงปลายวายดังมาว่า
“พริ้ม...นอนหรือยังลูก”
“ยังเลย...แม่มีอะไรหรือจ๊ะ?”
“แม่แค่จะโทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง อยู่กับพ่อเลี้ยงแล้วมีความสุขดีไหม”
“ก็ดีจ้ะแม่”
“เหรอ...ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยน่ะ พ่อเลี้ยงเป็นคนใจดีอยู่แล้ว ขนาดแม่บอกให้เขารับผิดชอบเรื่องคืนนั้นเขาก็ยอมรับได้นะ ไม่พูดหรือแย้งอะไรสักคำ”
นั่นเพราะเขาจำยอม...หทัยภัทรนึกในใจ แต่เธอไม่สามารถสร้างความไม่สบายใจให้มารดาได้ จึงตอบกลับไปว่า
“ปกติพ่อเลี้ยงก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แต่ว่า...พี่รุ้งได้คุยกับแม่บ้างหรือเปล่า”
หญิงสาวถามถึง รติมา ญาติผู้พี่ เสียงอีกฝั่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนตอบกลับมาว่า “แม่ได้คุยกับรุ้งนิดหน่อย รุ้งเขาก็รับได้นะกับเรื่องนี้”
“พี่รุ้งคงเสียใจ เราไม่น่าจะ...”
“พริ้ม...แล้วลูกคิดว่าถ้าพ่อกับแม่ไม่ให้พ่อเลี้ยงยอมรับลูกเป็นเมีย มันจะเป็นยังไง ชาวบ้านชาวช่องเขารู้พ่อแม่ก็อับอาย”
“จริง ๆ แล้วแค่ทำพิธีตามประเพณีก็ได้แล้วนี่แม่ พริ้มไม่ได้ถึงขั้นอยากจดทะเบียนสมรสกับพ่อเลี้ยงเลยนะ”
“อย่าโง่สิพริ้ม...ถ้าลูกไม่จดทะเบียนสมรสแล้วเกิดพ่อเลี้ยงไปมีเมียเล็กเมียน้อยขึ้นมาจะเป็นยังไง รู้ไหมว่าใบทะเบียนนั่นน่ะมันจะช่วยยึดพ่อเลี้ยงไตรทศเอาไว้ เขาทิ้งลูกไม่ได้แน่นอน”
เครือมาศยืนยันความคิดของตัวเองแต่สร้างความอึดอัดให้หทัยภัทรเป็นอย่างมาก ทะเบียนสมรสไม่ได้เป็นเกราะป้องกันตัวเธอ แต่มันคือการบีบบังคับและยิ่งบีบคั้นให้ไตรทศจงเกลียดจงชังเธอมากขึ้นด้วย หลังสัญญาณปลายสายขาดหายไป หทัยภัทรก็นั่งเหม่ออยู่บนฟูกข้างเตียงกระทั่งเสียงบานประตูที่เปิดออกทำให้เธอหันไปมอง
