บทที่ 4 อดีตที่เคยพัง (75%)
สาวใช้ที่เพิ่งนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟเอ่ยอย่างเพ้อๆ ด้วยความลืมตัว ก่อนจะตาโต หุบปากฉับ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเผลอพลั้งปากพูดอะไรออกไป
“อย่าไปฟังนังนวลมันเลยค่ะ ไปค่ะ…เดี๋ยวป้าพาไปส่งที่ตึกใหญ่” หลังจากหันไปขึงตาปรามคนปากพล่อย แม่อาบก็ปลอบประโลมอารญา แล้วเอ่ยเร่งเร้าให้เธอไปที่ตึกใหญ่
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าอาบ อายอยู่ที่นี่ดีกว่า”
คนที่มาขลุกช่วยงานในครัวตั้งแต่เช้าส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมฝืนยิ้มบางๆ ออกมา ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบใบตองตรงหน้ามาเจียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แต่คุณน้องอายบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับคุณชายไม่ใช่เหรอคะ”
“เอาไว้วันหลังก็ได้ค่ะ ถ้าอายเข้าไปขัดจังหวะผู้ใหญ่ตอนนี้คงไม่เหมาะ” อารญาปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ เลยเอ่ยออกมาอย่างเศร้าๆ
“ป้าอาบสอนอายขูดมะพร้าวได้ไหมคะ เผื่อว่าอายจะไม่ได้มาที่นี่อีก”
“อุ้ย! คุณน้องอายพูดเป็นลางอะไรอย่างนั้นคะ ท่านหญิงรักและเอ็นดูคุณน้องอายจะตาย”
“มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะ เราหยั่งรู้อนาคตไม่ได้ เช่นกับที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้”
ปากอิ่มขยับพูด ขณะที่มือเจียนใบตองอย่างขะมักเขม้น แต่ก้มหน้าซ่อนหยาดน้ำใสๆ ที่คลอเคล้านัยน์ตา ท่าทางน่าสงสารทำให้คนแก่ชวนเปลี่ยนเรื่องคุย
“เมื่อกี้คุณน้องอายบอกว่าอยากให้ป้าสอนขูดมะพร้าวใช่ไหมคะ”
“ค่ะ อายเห็นป้าอาบทำแล้วคันไม้คันมือ อยากขอลองทำตั้งนานแล้ว”
“งั้นดีเลยค่ะ เราขูดมะพร้าวเสร็จ ก็คั้นน้ำกระทิต่อ จากนั้นก็เอาไปทำบัวลอยไข่หวาน ของโปรดของคุณน้องอาย ดีไหมคะ” แม่ครัวใหญ่เอ่ยอย่างเอาใจ ทำให้หญิงสาวยิ้มออก พยักหน้าน้อยๆ
จากนั้นร่างบอบบางในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ก็เดินตามสาวใช้เข้าไปสอยมะพร้าวแก่ในสวนด้วยท่าทางกระตือรือร้น ไม่ห่วงสวย ไม่กลัวดำ ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเธอก็กลับมาพร้อมกับมะพร้าวหลายลูก ใบหน้าพริ้มเพราแดงเรื่อเพราะโดนแดด น่าเอ็นดูจนแม่ครัวใหญ่อดลูบแก้มนุ่มๆ ไม่ได้
แม่อาบเรียกคนสวนมาปอกเปลือกมะพร้าว และผ่าให้เป็นสองซีก จากนั้นก็เอากระต่ายขูดมะพร้าวออกมาสอนอารญา หญิงสาวฟังอย่างตั้งใจ คอยสังเกต จดจำลักษณะท่าทาง และสอบถามเมื่อเกิดความสงสัย ไม่นานคนหัวไวในเรื่องทำอาหารก็สามารถขูดมะพร้าวได้
“ป้าอาบครับ”
คนที่โผล่หน้าเข้ามาในครัวเอ่ยเบาๆ ก่อนจะยืนนิ่งมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาขูดมะพร้าว ทำหน้าตายเมื่อเธอเงยขึ้นมา แล้วเอ่ยบอก
“ป้าอาบไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวก็คงกลับมาค่ะ”
“เธอมาทำอะไรที่นี่?”
น้ำคำนั้นช่างเย็นชาเหินห่าง อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเขาอยู่ไกลเหลือเกิน
“อายมาให้ป้าอาบสอนขูดมะพร้าวค่ะ”
“ไม่ได้มาหาฉันหรอกเหรอ”
“นั่นก็ด้วยค่ะ” เธอตั้งใจจะเอ่ยสิ่งที่ตัวเองอยากพูด เพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว หากหางตาจะไม่เหลือบไปเห็นมนธิราเสียก่อน “แต่วันนี้พี่ธีมีแขก เอาไว้วันหลังก็ได้ค่ะ”
“มนไม่ใช่แขก”
แน่ล่ะ มนธิราไม่ใช่แขก แต่เป็นแฟนของเขา
“…”
เธอสะอึกจนพูดไม่ออก การไม่เป็นที่รักของผู้ชายที่ตัวเองรักทำไมมันถึงได้เจ็บปวดเหมือนถูกเฉือนหัวใจออกเป็นชิ้นๆ ขนาดนี้ แล้วหากต้องเสียเขาไปจริงๆ เธอจะทำเช่นไร
“ถ้าอยากคุย ก็นัดผ่านเลขาฉันแล้วกัน”
“อายเป็นถึงคู่หมั้นของพี่ธี จำเป็นต้องนัดด้วยเหรอคะ”
“จำเป็น เพราะอีกไม่นานฉันก็จะถอนหมั้นแล้ว”
“ไม่นะคะ อายไม่ถอนหมั้นนะคะ พี่ธีเป็นของอาย…เป็นของอายคนเดียว” คนที่ยึดมั่นถือมั่นว่าเขาเป็นของตนมาตั้งแต่แรกส่ายหน้าหวือ พลางขยับเข้ามาคว้าข้อมือแกร่งยึดเอาไว้
“หยุดเพ้อเจ้อเสียทีอารญา”
ชายหนุ่มว่าพลางสะบัดแขนออก แล้วหมุนตัวจะก้าวจากไป ทว่าร่างใหญ่กลับต้องตัวแข็งทื่อ เมื่ออีกฝ่ายโผเข้าสวมกอดจากทางเบื้องหลัง พร้อมพร่ำวิงวอนเสียงสั่นเครือ
“พี่ธีอย่าทำอย่างนี้กับอาย อย่าทิ้งอาย…ได้โปรด”
“ยอมรับความจริงเสียเถอะอารญา”
วาจาไม่รักษาน้ำใจถูกพ่นออกมาจากปากคนที่แกะแขนเรียวออกจากเอว ทำเอาหัวใจเธอแทบสลาย และก็เกือบจะปล่อยโฮออกมา เมื่อเห็นว่าร่างสูงสง่าหมุนตัวออกไปจากในครัว แล้วเดินไปหาแฟนสาวของเขา
ธีรเดชบอกให้เธอทำนัดกับเลขาหากว่าต้องการพบเขา ซึ่งเธอก็ทำตามกฎกติกาที่อีกฝ่ายตั้งขึ้นไม่ต่างอะไรจากการเล่นแง่ ก็แหงล่ะ เขาไม่อยากพบหน้า เสวนา แต่พอถึงเวลานัด เขากลับให้คนมาบอกเธอว่าติดประชุมที่บริษัทขายยา หนึ่งในกิจการของตระกูลเผ่าวานิษ ณ ฤดีรังสรรค์ ซึ่งเขาเป็นคนคุม นอกจากเป็นหมอแล้ว ธีรเดชยังเป็นประธานบริหารในเครือพีเค ฟาร์มา จำกัด จากนั้นก็ประชุมลากยาวเกือบห้าชั่วโมงเห็นจะได้ แต่กระนั้นเธอก็ยังอดทนรอ
“คุณน้องอายครับ”
น้ำเสียงสุภาพกึ่งเกรงอกเกรงใจทำให้คนที่นั่งกอดอกสัปหงกอยู่แถวๆ หน้าห้องทำงานของประธานบริหารขยับเปลือกตายุกยิก ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยท่าทางงัวเงีย
“พี่ธีประชุมเสร็จแล้วใช่ไหมคะคุณนิธิ”
หลังจากยกมือลูบหน้าลวกๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนและเพลียจัด เนื่องจากเมื่อคืนทำรายงานจนดึกดื่น อารญาก็เอ่ยถามชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพ และเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เสร็จแล้วครับ”
คำตอบทำให้คนฟังคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา คว้าสายกระเป๋ามาคล้องไหล่ ลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น พร้อมเอ่ยบอก “งั้นอายขอตัวไปหาพี่ธีก่อนนะคะ”
“เอ่อ…คุณชายออกไปแล้วครับ”
“ออกไปแล้ว!” เธอทำหน้าตกใจ
“ครับ”
“ออกไปตอนไหนคะ ทำไมอายไม่เห็น”
“ออกไปก่อนที่ผมจะเดินมาปลุกคุณน้องอายครับ”
น้ำคำบอกเล่าทำให้คนฟังทำหน้าเศร้า ก่อนจะพึมพำขอบคุณ แล้วเดินคอตกไปกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง ส่วนเลขาหนุ่มก็ได้แต่มองตามอย่างสงสาร ส่ายหัวให้กับเจ้านายที่เอาแต่หนีหน้าอารญา ทั้งที่เป็นคนรับนัดสาวน้อยเอาไว้แล้วแท้ๆ แต่ยังเล่นแง่สารพัด ปล่อยให้เธอรออย่างน่าสงสารตั้งนาน มิหนำซ้ำยังถือโอกาสหลบไปในช่วงที่เธอหลับรอ พฤติกรรมประหลาดๆ แบบนี้ ไม่ให้เรียกว่ารังแกเด็กแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
ร่างบางที่ยืนทำหน้าซึมอยู่ในลิฟต์ตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาธีรเดช แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับสาย ไม่ว่าเธอจะพยายามโทรไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สุดท้ายอารญาก็ทำได้เพียงถอนหายใจหนักๆ
เขาปล่อยให้เธอรอเก้อกี่ครั้ง?
