บทที่ 1 ธีรพลผู้ไร้ค่า

ณ คฤหาสน์หรูของตระกูลวรศาสตร์ ต้นคริสต์มาสถูกประดับประดาไว้อย่างวิจิตรตระการตาทั้งภายในและภายนอก

วันนี้เป็นวันคริสต์มาส

"คุณย่าครับ สุขสันต์วันคริสต์มาส นี่คือไม้กางเขนที่ผ่านพิธีเสกจากวัดคาทอลิกมาแล้วครับ ราคาตั้งสามแสนบาท ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณย่าให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บนะครับ!"

"คุณย่าครับ สุขสันต์วันคริสต์มาส นี่ไวน์ลาฟิตปี 82 ที่หลานเตรียมมาให้ครับ..."

คุณย่าจิราภรณ์มองดูของขวัญตรงหน้าด้วยรอยยิ้มแก้มปริ

ทันใดนั้น ธีรพล หลานเขยคนโตก็เอ่ยขึ้นว่า "คุณย่าครับ ได้ยินว่าคุณย่าตั้งมูลนิธิขึ้นมา ผมขอโควตาพิเศษสักที่ได้ไหมครับ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ผมเคยอยู่ถูกรื้อถอน ผู้อำนวยการเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนนี้ต้องการเงินด่วนเพื่อหาที่อยู่ใหม่ให้เด็กๆ และรักษาตัวผู้อำนวยการครับ!"

บรรยากาศที่กำลังชื่นมื่นของตระกูลวรศาสตร์หยุดชะงักลงทันที

ทุกสายตาจับจ้องไปที่ธีรพลเป็นตาเดียว

หลานเขยคนโตคนนี้มันเกินไปจริงๆ!

วันดีๆ อย่างวันคริสต์มาส นอกจากจะไม่เตรียมของขวัญให้คุณย่าแล้ว ยังกล้ามาขอเงินคุณย่าไปให้คนอื่นอีก!

ธีรพลเข้ามาในตระกูลเมื่อสองปีก่อนโดยการชักนำของคุณปู่ธีระวัชผู้ล่วงลับ ท่านไม่สนเสียงคัดค้านของใคร บังคับให้หลานสาวคนโตแต่งงานกับเขา ตอนนั้นธีรพลจนกรอบยิ่งกว่าขอทานข้างถนนเสียอีก

แต่ขัดคำสั่งคุณปู่ธีระวัชไม่ได้ ทั้งสองจึงต้องแต่งงานกัน

แต่แต่งงานกันได้ไม่ถึงปี คุณปู่ธีระวัชก็เสียชีวิต

ตั้งแต่นั้นมา คนในตระกูลวรศาสตร์ก็คอยหาทางไล่ธีรพลออกไปตลอด

แต่ธีรพลเป็นคนนิสัยเรียบง่าย ต่อให้โดนดูถูกเหยียดหยามซึ่งหน้า เขาก็ไม่สะทกสะท้าน

แต่วันนี้ที่ต้องเอ่ยปากขอ เพราะเขาจนตรอกแล้วจริงๆ

คุณจันทร์เพ็ญ ผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขาไว้ กำลังป่วยหนักจากเส้นเลือดในสมองแตก แถมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ถูกรื้อถอน การจะหาที่อยู่ใหม่ให้เด็กๆ ต้องใช้เงินหลายแสน ไหนจะค่ารักษาพยาบาลราคาแพงอีก เขาจะไปหาเงินมาจากไหน?

เมื่อหมดหนทาง เขาจึงต้องหวังพึ่งมูลนิธิของคุณย่า

คิดว่าวันนี้เป็นวันคริสต์มาส ทุกคนกำลังอารมณ์ดี

ถ้าเอ่ยปากตอนนี้ก็น่าจะได้รับความช่วยเหลือ

แต่ผิดคาด รอยยิ้มที่มุมปากของคุณย่าจิราภรณ์แข็งค้างทันที ใบหน้าบึ้งตึงลง

นางลุกขึ้นพรวด กระแทกไม้เท้าในมือลงกับพื้นอย่างแรง "ไอ้คนหน้าด้าน! แกจำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้ในวันนี้ด้วยหรือไง!"

อรุณี ภรรยาของธีรพลรีบเข้าไปอธิบายกับคุณย่าจิราภรณ์ว่า

"คุณย่าคะ พลเขาแค่ร้อนใจอยากช่วยคน คุณย่าอย่าถือสาเขาเลยนะคะ!"

พูดจบ เธอก็เอื้อมมือไปดึงตัวธีรพลออกมา

จังหวะนั้นเอง ลิลลี่ ลูกพี่ลูกน้องของอรุณีก็พูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงดูแคลนว่า "พี่อรุณี พี่ไม่ดูหน่อยเหรอว่าสามีพี่เป็นตัวอะไร! ฉันกับนรภัทรยังไม่ทันได้แต่งงานกัน เขายังซื้อไม้กางเขนมาให้คุณย่าเลย สามีพี่มามือเปล่าไม่พอ ยังมีหน้ามาขอให้คุณย่าช่วยอีก!"

"ใช่ครับ พี่ธีรพล เราต่างก็เป็นเขยของตระกูลวรศาสตร์ พี่เป็นถึงหลานเขยคนโต ไม่ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างก็ได้ แต่อย่าให้มันขายขี้หน้าขนาดนี้สิครับ!"

ชายคนที่พูดคือคู่หมั้นของลิลลี่ นรภัทร นายน้อยแห่งตระกูลเภาศรี

แม้ว่านรภัทรจะแต่งงานกับลิลลี่ในปีหน้า แต่ในใจเขายังคงถวิลหาใบหน้าอันงดงามราวกับนางฟ้าของอรุณีอยู่เสมอ ถึงจะเป็นหลานสาวตระกูลวรศาสตร์เหมือนกัน แต่ความสวยช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

อรุณีเป็นถึงนางในฝันของหนุ่มๆ ทั่วเมือง แต่กลับต้องมาแต่งงานกับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้ นรภัทรจึงรู้สึกขัดใจอย่างมาก

"คนอย่างกับโคลนตม ถ้าเป็นฉันคงทนอยู่ไม่ได้นานแล้ว!"

"ตระกูลวรศาสตร์ของเราไปคว้าคนแบบนี้มาเป็นลูกเขยได้ยังไง ขายขี้หน้าชะมัด!"

"ฉันว่าเขาตั้งใจหาเรื่องมาทำลายบรรยากาศดีๆ ของทุกคนมากกว่า ทำให้คริสต์มาสปีนี้หมดสนุกไปเลย!"

เมื่อได้ยินคนในตระกูลวรศาสตร์รุมว่ากล่าว ธีรพลกำหมัดแน่น

ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยชีวิตผู้มีพระคุณ เขาจะไม่มีวันเอ่ยปากและจะไม่อยู่ตรงนี้เด็ดขาด!

แต่พอคิดถึงคุณจันทร์เพ็ญ เขาก็จำต้องอดทน

ธีรพลข่มความรู้สึกอัปยศในใจ มองไปที่คุณย่าจิราภรณ์ด้วยสายตาวิงวอน

"คุณย่าครับ คุณย่าเป็นคนนับถือพระเจ้า บริจาคเงินทุกปี ถือว่าครั้งนี้ทำบุญสุนทานเถอะนะครับ..."

ได้ยินดังนั้น ก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น

"ธีรพล แกอย่ามาพูดมั่วซั่วแถวนี้! ผู้มีพระคุณของแกเกี่ยวอะไรกับคุณย่า? ตัวเองไม่คิดจะหาเงิน กลับมาแบมือขอคุณย่า เกาะผู้หญิงกินแล้วยังมีหน้ามาพูดดีอีก!"

คนพูดคือพี่ชายของลิลลี่ ภูวเดช!

สองพี่น้องนี้ไม่ชอบหน้าอรุณีมาตลอด แต่อรุณีทำตัวสมบูรณ์แบบจนหาช่องว่างเล่นงานไม่ได้ พวกเขาเลยหันมาเล่นงานธีรพลแทน

อรุณีพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า

"คุณย่าคะ ธีรพลเสียพ่อไปตั้งแต่สิบขวบ ถ้าไม่ได้คุณจันทร์เพ็ญจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนกตัญญูรู้คุณ คุณย่าช่วยเขาหน่อยเถอะนะคะ!"

พอได้ยินแบบนั้น สีหน้าคุณย่าจิราภรณ์ก็ดำทะมึน

"ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วย อยากให้ช่วยก็ได้ แต่พวกแกสองคนต้องหย่ากัน แล้วหลานต้องไปแต่งงานกับคุณภาคิน! แค่ทำตามที่ฉันบอก ฉันจะโทรหามูลนิธิเดี๋ยวนี้ แล้วโอนเงินให้ห้าแสนทันที!"

คุณภาคินที่คุณย่าจิราภรณ์พูดถึง คือคนที่ตามจีบอรุณีมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ภาคินมาจากตระกูลศรีเงินงามซึ่งเป็นตระกูลอันดับต้นๆ ที่ร่ำรวยกว่าตระกูลอินทรจันทร์หลายเท่า

คุณย่าจิราภรณ์อยากดองกับตระกูลนั้นมานานแต่ไม่มีโอกาส ตอนนี้ถือเป็นจังหวะเหมาะพอดี!

ทันใดนั้น พ่อบ้านก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา แล้วประกาศเสียงดังว่า

"คุณภาคินส่งปะการังแดงชั้นยอดมาให้คุณท่านเพื่อฉลองวันคริสต์มาสครับ มูลค่าสองล้านบาท!"

คุณย่าจิราภรณ์ดีใจเนื้อเต้น รีบสั่งว่า "รีบยกเข้ามา ให้ฉันดูหน่อย!"

พ่อบ้านรีบยกปะการังที่มีรูปร่างสมบูรณ์แบบเข้ามา

ปะการังสีแดงสดสวยงามจนใครเห็นก็ต้องหลงใหล

แถมยังเชื่อกันว่าปะการังเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล

ตอนนี้นรภัทรที่ให้ไม้กางเขนไป มองดูปะการังแดงราคาแพงระยับตรงหน้า ก็รู้สึกหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ

เขาไม่คิดเลยว่าภาคินคนนี้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลวรศาสตร์ จะยอมทุ่มทุนส่งของขวัญล้ำค่าขนาดนี้มาให้ในวันคริสต์มาส

คุณย่าจิราภรณ์เดินวนดูปะการังแดงด้วยความปลาบปลื้ม ยิ้มแก้มแทบปริแล้วพูดว่า "ของขวัญของคุณภาคินชิ้นนี้ถูกใจฉันจริงๆ เสียดายที่ฉันไม่มีวาสนาได้เขามาเป็นหลานเขย!"

พูดจบ นางก็หันไปมองธีรพล

"แกจะลองพิจารณาข้อเสนอของฉันไหม? โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ นะ!"

ธีรพลยังไม่ทันได้ตอบ อรุณีก็ปฏิเสธเสียงแข็งทันที

"คุณย่าคะ หนูไม่ยอมหย่ากับธีรพลเพื่อไปแต่งงานกับภาคินหรอกค่ะ!"

เมื่อได้ยินคำตอบของหลานสาว ใบหน้าของคุณย่าจิราภรณ์ก็ดำคล้ำราวกับก้นหม้อ แววตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด

"ฉันกำลังช่วยแกให้พ้นจากนรก แต่แกกลับหัวดื้อ จะยอมจมปลักอยู่กับขอนไม้ผุๆ นี่ให้ได้!"

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ คุณย่าจิราภรณ์ก็ตวาดขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด "มัวยืนบื้อกันอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไล่ไอ้ขยะขวางหูขวางตาคนนี้ออกไปให้พ้นหน้าฉันอีก!"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ธีรพลก็รู้สึกผิดหวังในตระกูลวรศาสตร์จนถึงที่สุด หมดสิ้นความอาลัยอาวรณ์ที่จะอยู่ต่อ

เขาจึงหันไปพูดกับอรุณีว่า "อรุณี ผมขอตัวไปเยี่ยมคุณจันทร์เพ็ญที่โรงพยาบาลก่อนนะ"

อรุณีรีบพูดสวนขึ้นทันที "ฉันจะไปกับคุณด้วย สองหัวดีกว่าหัวเดียว เผื่อจะช่วยกันคิดหาทางออกได้!"

แต่ทว่ายังไม่ทันที่อรุณีจะก้าวขา คุณย่าจิราภรณ์ก็ตะโกนด่าตามหลังมาว่า "อรุณี! ถ้าวันนี้แกกล้าก้าวออกจากบ้านตระกูลวรศาสตร์ ฉันจะถือว่าไม่มีหลานอย่างแก! ถ้าแกรักไอ้ขยะนี่มากนัก ก็พาพ่อแม่แกไสหัวออกจากตระกูลไปพร้อมกับมันเลย!"

อรุณีชะงักกึก ตัวแข็งทื่อ เธอไม่คิดเลยว่าคุณย่าจะทำถึงขนาดนี้

ชั่วขณะนั้น อรุณีกัดริมฝีปากแน่น แววตาเต็มไปด้วยความลังเล

ธีรพลมองเห็นความลำบากใจของอรุณี จึงรีบพูดขึ้นว่า "ผมไปคนเดียวได้ วันนี้วันคริสต์มาส คุณอยู่กับครอบครัวเถอะ"

พูดจบ โดยไม่รอให้อรุณีได้เอ่ยปาก ธีรพลก็เดินหันหลังออกจากบ้านตระกูลวรศาสตร์ไปทันที

ขณะที่เขากำลังจะก้าวพ้นประตูรั้วบ้านตระกูลวรศาสตร์ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของภูวเดชก็ดังไล่หลังมาอย่างไม่เกรงใจ

"น้องเขย วันคริสต์มาสแบบนี้ร้านรวงข้างนอกปิดกันหมด ออกจากบ้านไปคงไม่มีที่ซุกหัวนอนหรือข้าวกิน กลัวแกจะอดตาย ฉันมีขนมปังเหลืออยู่ชิ้นหนึ่ง เอาไปกินประทังชีวิตซะสิ!"

พูดจบ เขาก็ล้วงขนมปังยับยู่ยี่ก้อนหนึ่งออกมาจากไหนไม่ทราบ แล้วโยนไปที่แทบเท้าของธีรพล

เสียงหัวเราะขบขันดังลั่นออกมาจากในตัวบ้าน

ธีรพลไม่ได้หันกลับไปมอง เขาเพียงแค่กัดฟันแน่น แล้วเดินออกจากตระกูลวรศาสตร์ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงพยาบาลทันที

ในเมื่อขอโควตาไม่ได้ เขาทำได้เพียงไปขอร้องทางโรงพยาบาลให้ช่วยยืดเวลาออกไปอีกหน่อย

แต่ทว่าเมื่อเขาไปสอบถามพยาบาล กลับได้รับคำตอบว่า คุณจันทร์เพ็ญไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลนี้แล้ว แต่ถูกย้ายตัวด่วนกลางดึกไปยังโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่ดีกว่า

ธีรพลยืนอึ้งไปชั่วขณะ

"อาการทรุดหนักเหรอครับ? ต้องใช้เงินเท่าไหร่? พอจะผ่อนผันสักสองวันได้ไหมครับ?"

พยาบาลส่ายหน้าแล้วตอบว่า "นี่คือบิลค่าใช้จ่ายจากทางฝั่งนู้นค่ะ มีการวางเงินมัดจำไว้แล้วสามแสนบาท แต่ยังขาดอีกประมาณหนึ่งล้านบาท ซึ่งต้องจ่ายให้ครบก่อนเริ่มการผ่าตัดค่ะ!"

ได้ยินดังนั้น ธีรพลก็ขมวดคิ้วมุ่น

"เงินมัดจำสามแสนนั่นมาจากไหนครับ?"

พยาบาลส่ายหน้าด้วยความงุนงงเช่นกัน

ธีรพลรู้สึกสับสนอย่างมาก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะโทรหาอรุณีเพื่อสอบถาม แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบกว่า สวมสูทสีดำยืนอยู่ด้านหลังเขา

เมื่อเห็นธีรพลหันมา ชายคนนั้นก็โค้งคำนับเก้าสิบองศาอย่างนอบน้อมก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "นายน้อยครับ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สบายดีไหมครับ?"

ทันทีที่เห็นหน้าชายคนนี้ ความสับสนของธีรพลก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาทันที "สมศักดิ์?"

อีกฝ่ายดูแปลกใจเล็กน้อย "ไม่นึกเลยว่านายน้อยจะยังจำชื่อผมได้!"

ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของธีรพลก็ดูย่ำแย่ลงทันตา

ชื่อนี้เขาไม่มีวันลืม

"ฉันจำได้แน่นอน! ฉันยังจำได้ดีว่าเมื่อสิบห้าปีก่อน เป็นเพราะแก สมศักดิ์ ที่นำคนมาบีบบังคับให้พ่อแม่ฉันต้องหนีออกจากเมืองหลวง จนกระทั่งพ่อแม่ฉันต้องตายระหว่างทาง และฉันต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า!"

พูดถึงตรงนี้ ธีรพลกัดฟันกรอดด้วยความแค้น "ตอนนี้พวกแกเห็นว่าฉันยังไม่ตาย เลยจะมาถอนรากถอนโคนให้สิ้นซากงั้นสิ?"

เมื่อได้ยินคำกล่าวหา สีหน้าของสมศักดิ์ดูเจ็บปวด แววตาฉายแววสำนึกผิด

"คุณพลครับ ตอนที่ทราบข่าวว่าคุณชายเสียชีวิต คุณปู่อัศรีก็ล้มป่วยลงทันที พอท่านฟื้นขึ้นมาได้ ก็พยายามตามหาคุณมาโดยตลอด ตอนนี้ผมเจอคุณแล้ว ได้โปรดกลับไปพบคุณปู่อัศรีกับผมเถอะครับ!"

ธีรพลแค่นหัวเราะในลำคอ

"ฉันไม่มีวันไปพบศัตรูของฉันเด็ดขาด!"

"คุณพลครับ เรื่องนั้นมันมีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่ คุณไม่ควรโทษคุณปู่อัศรีนะครับ!"

ยิ่งได้ฟัง สีหน้าของธีรพลก็ยิ่งดูแคลน

"ฉันไม่ได้โทษเขา ฉันแค่เกลียดเขา!"

เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของธีรพล สมศักดิ์ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ

"อันที่จริง ตอนที่เราออกมาตามหาคุณ คุณปู่อัศรีก็เปรยไว้แล้วว่าคุณคงไม่ยอมกลับไปแน่!"

ธีรพลพูดเสียงเย็น "ดูท่าเขาจะยังไม่ลืมความเลวระยำที่ตัวเองเคยทำไว้สินะ!"

สมศักดิ์ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดในประเด็นนี้ แต่กลับหยิบบัตรธนาคารสีดำทึบที่มีลวดลายมังกรทองประทับอยู่ออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างเคร่งขรึม

"บัตรแบล็คโกลด์ดราก้อนใบนี้ ไม่ต้องใช้รหัสผ่าน คุณสามารถรูดใช้ได้ตามต้องการครับ!"

ขณะพูด เขาประคองบัตรที่มีเพียงไม่เกินสามใบในประเทศใบนี้ ยื่นส่งให้ตรงหน้าธีรพลอย่างนอบน้อม

ธีรพลไม่แม้แต่จะชายตามอง เขาพูดเสียงแข็งว่า "ฉันไม่ต้องการของของเขา!"

เมื่อเผชิญกับการปฏิเสธของธีรพล สมศักดิ์ไม่ได้เซ้าซี้ แต่เปลี่ยนเรื่องพูดแทน

"ได้ยินว่าตอนที่นายน้อยกลายเป็นเด็กกำพร้า คุณจันทร์เพ็ญแห่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นคนรับอุปการะคุณไว้ ตอนนี้ท่านต้องการค่าผ่าตัดหนึ่งล้านบาท ถ้าไม่ได้ผ่าตัด ท่านอาจจะไม่มีโอกาสรอด และเด็กๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ต้องการที่อยู่ใหม่ เด็กพวกนั้นกำพร้าพ่อแม่อยู่แล้ว ถ้าต้องเสียบ้านไปอีก..."

ได้ยินดังนั้น ธีรพลก็กระตุกวูบในใจ

เขาก็สงสัยอยู่แล้วว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงมีการย้ายโรงพยาบาล

ที่แท้ก็เป็นฝีมือของพวกเขานี่เอง!

"พวกแกจงใจจัดฉากแบบนี้ เพื่อบีบให้ฉันก้มหัวงั้นเหรอ?"

สมศักดิ์รีบก้มหน้าลง แสดงท่าทีนอบน้อมที่สุด

"พวกเราไม่กล้าวางแผนร้ายใส่นายน้อยหรอกครับ! เราแค่ต้องการมาแบ่งเบาภาระให้นายน้อยเท่านั้น"

เมื่อฟังคำพูดของเขา และนึกถึงใบหน้าอันเหนื่อยล้าของคุณจันทร์เพ็ญ ธีรพลก็เริ่มลังเล

"บัตรนี้วงเงินเท่าไหร่?"

เมื่อได้ยินคำถาม สมศักดิ์รู้ทันทีว่านายน้อยเริ่มใจอ่อนแล้ว จึงรีบตอบกลับไปว่า

"คุณปู่อัศรีแจ้งว่า บัตรนี้สามารถใช้จ่ายได้สูงสุดเดือนละหนึ่งหมื่นล้านบาทครับ!"

บัตรใบเดียวรูดได้สูงสุดเดือนละหมื่นล้าน?

ธีรพลยืนอึ้งไปเลย

แม้ตอนเด็กๆ เขาจะรู้ว่าปู่รวยมาก แต่ตอนนั้นเขายังไม่มีความเข้าใจเรื่องมูลค่าของเงิน รู้แค่ว่าตระกูลแดงชาติเป็นตระกูลชั้นนำในเมืองหลวง หรือแม้แต่ระดับประเทศ

แต่เขาก็ไม่เคยรู้ตัวเลขทรัพย์สินที่แน่ชัด

แต่เมื่อมองดูบัตรแบล็คโกลด์ดราก้อนที่รูดได้เดือนละหมื่นล้านตรงหน้า เขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

ทรัพย์สินของตระกูลแดงชาติอย่างน้อยต้องมีมากกว่าวงเงินนี้เป็นร้อยเท่า ประเมินคร่าวๆ น่าจะเกินล้านล้านบาท!

สมศักดิ์คิดว่าธีรพลยังคงลังเลใจ จึงรีบอธิบายเสริม

"นายน้อยครับ คุณเป็นคนของตระกูลแดงชาติ เงินก้อนนี้เดิมทีก็เป็นของพ่อคุณ ตอนนี้แค่ส่งต่อมาถึงมือคุณในฐานะทายาทเท่านั้นครับ!"

"คุณปู่อัศรีฝากบอกว่า ถ้าคุณยอมกลับตระกูลแดงชาติ ธุรกิจทั้งหมดของตระกูลจะตกเป็นของคุณแต่เพียงผู้เดียว แต่ถ้าคุณไม่ยอมกลับ เงินจำนวนนี้ก็ถือซะว่าเป็นค่าเลี้ยงดูครับ!"

พูดถึงตรงนี้ สมศักดิ์ก็เสริมขึ้นอีกประโยค

"อ้อ จริงสิครับ ก่อนที่ผมจะมา คุณปู่อัศรีได้สั่งให้คนเข้าซื้อกิจการอันดับหนึ่งของที่นี่ บริษัท GGL ด้วยเงินสดแปดแสนล้านบาท ตอนนี้บริษัทถูกโอนเป็นชื่อของคุณแล้ว คุณสามารถเข้าไปรับช่วงต่อที่บริษัท GGL ได้ทุกเมื่อครับ!"

ได้ยินแบบนี้ ธีรพลถึงกับตะลึงงัน

ตระกูลแดงชาตินี่ช่างเล่นใหญ่รัชดาลัยเสียจริง

บัตรแบล็คโกลด์วงเงินหมื่นล้านต่อเดือน แถมยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งเมืองเอ อย่างบริษัทจีจีแอลอีก!

บทถัดไป