บทที่ 2 ไม่เอาก็ไม่ได้

เมื่อเห็นว่าธีรพลยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง สมศักดิ์จึงหยิบนามบัตรใบหนึ่งออกมา แล้วยื่นส่งให้ธีรพลด้วยความนอบน้อมพร้อมกับบัตรธนาคารใบนั้น

"คุณหนูครับ ผมทราบดีว่าคุณอาจจะยังทำใจยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ในทันที คุณค่อยๆ คิดทบทวนดูก่อนก็ได้ครับ นี่เป็นเบอร์ติดต่อของผม หากคุณหนูต้องการอะไรเมื่อไหร่ สามารถเรียกใช้ผมได้ตลอดเวลาครับ! อ้อ... ส่วนเรื่องเด็กกำพร้าพวกนั้น ผมได้จัดการหาที่พักใหม่ให้พวกเขาเรียบร้อยแล้วนะครับ!"

พูดจบ สมศักดิ์ก็ค่อยๆ ถอยฉากเดินจากไปอย่างระมัดระวัง

จนกระทั่งแผ่นหลังของสมศักดิ์ลับสายตาไปจนหมด ธีรพลก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน

เพราะภายในใจของเขากำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรง

เงินก้อนนี้เปื้อนไปด้วยเลือดของพ่อแม่เขา เขาควรจะปฏิเสธมัน

แต่เมื่อหวนนึกถึงช่วงเวลาสิบห้าปีหลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิต แม้เขาจะได้รับความเมตตาจากคุณจันทร์เพ็ญรับไปเลี้ยงดูในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เขาก็ต้องทนทุกข์กับการถูกดูถูกเหยียดหยาม และต่อมาเมื่อเข้ามาอยู่ในตระกูลอินทรจันทร์ เขาก็ยังถูกกลั่นแกล้งรังแกสารพัด

ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็มาจากตระกูลแดงชาติทั้งนั้น!

ในเมื่อตอนนี้ตระกูลแดงชาติมอบเงินชดเชยให้ แล้วทำไมเขาถึงจะไม่รับมันไว้ล่ะ?

ยิ่งไปกว่านั้น ค่ารักษาพยาบาลของคุณจันทร์เพ็ญยังต้องการเงินอีกหนึ่งล้านบาท นี่เป็นเรื่องความเป็นความตายของคนคนหนึ่ง

พอคิดถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บป่วยของคุณจันทร์เพ็ญ

ธีรพลก็กำบัตรธนาคารในมือแน่น ขมวดคิ้วแล้วเดินตรงไปยังช่องชำระเงิน "สวัสดีครับ ผมมาจ่ายค่าผ่าตัดครับ!"

ยืนยันข้อมูล รูดบัตร

เงินจำนวนหนึ่งล้านบาทถูกโอนเข้าบัญชีของโรงพยาบาลทันที

ธีรพลรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป มันดูไม่สมจริงเลยสักนิด

นี่เขาเปลี่ยนสถานะจากไอ้ขี้แพ้กลายเป็นเศรษฐีแล้วจริงๆ หรือ?

......

เขากลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกที่ยังคงมึนงง

แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและวุ่นวาย

ในตอนที่อรุณีแต่งงานกับธีรพล เดิมทีพวกเขาอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลอินทรจันทร์

แต่หลังจากที่คุณปู่ธีระวัชเสียชีวิต คุณย่าจิราภรณ์ก็ไล่ครอบครัวของพวกเขาออกมาทันที ให้มาอาศัยอยู่ในห้องชุดที่มีพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบตารางเมตร

และในเวลานี้ สุนิษา แม่ยายของเขากำลังชี้หน้าด่าทออรุณีอย่างเกรี้ยวกราด

"ไอ้ธีรพลมันก็แค่โคลนตมที่ปั้นไม่ขึ้น! งานวันคริสต์มาสที่ผ่านมา มันทำฉันขายขี้หน้าจนหมดสิ้น! แกยังไม่ยอมหย่ากับมันอีกเหรอ แกต้องรอให้คุณย่าไล่แกออกจากบริษัทอินทรจันทร์ ให้ครอบครัวเราถูกตัดหางปล่อยวัดไปจริงๆ ก่อนใช่ไหม แกถึงจะพอใจ?"

เมื่อเผชิญกับโทสะของผู้เป็นแม่ อรุณีเพียงแค่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

"หนูมีมือมีเท้า ไปอยู่ที่ไหนก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ไม่ใช่เหรอคะ?"

พอได้ยินคำนี้ สุนิษาถึงกับเต้นผางด้วยความโมโห

"ฉันไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาว่าแกดี! ไอ้ธีรพลมันมีดีตรงไหน? ภาคินดีกว่ามันตั้งกี่ร้อยกี่พันเท่า ถ้าตอนนี้แกยอมหย่าแล้วไปแต่งงานกับภาคิน ครอบครัวเราก็จะได้กลับไปอยู่คฤหาสน์หลังเดิม ชีวิตพวกเราก็จะรุ่งโรจน์โชติช่วงแล้ว!"

ในขณะนั้น อนันต์ พ่อของอรุณีก็ช่วยพูดเสริมขึ้นมาว่า "ใช่แล้ว ตระกูลศรีเงินงามน่ะเหนือกว่าตระกูลอินทรจันทร์ของเราตั้งเยอะ ขอแค่ลูกแต่งงานกับภาคิน วันหน้าคุณย่าก็ต้องประเคนลูกเหมือนของล้ำค่าเลยล่ะ!"

เมื่อต้องเผชิญกับการกดดันจากพ่อแม่ อรุณีขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเด็ดขาด

"ไม่ว่าพ่อกับแม่จะพูดยังไง หนูก็ไม่มีวันหย่ากับธีรพล!"

สิ้นเสียงคำประกาศ แม่ยายผู้เต็มไปด้วยความไม่พอใจก็ขว้างข้าวของในมือกระแทกใส่ประตูอย่างแรง

"แกมันหัวดื้อเหมือนลาโง่!"

สิ้นเสียงด่า สายตาก็เหลือบไปเห็นธีรพลที่ยืนอยู่หน้าประตูพอดี

สุนิษาพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลนอย่างที่สุด "ไอ้ขยะ อย่าเข้ามาทำให้ที่ของฉันสกปรกนะ!"

ธีรพลรู้ดีว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม่ยายมองว่าเขาเป็นตัวซวยที่ทำลายชีวิตของอรุณี จึงคอยหาเรื่องดูถูกเหยียดหยามเขามาตลอด

แต่ตอนนี้เขากลับนึกอยากรู้ขึ้นมาทีเดียวว่า ถ้าแม่ยายรู้ว่าเขาคือประธานกรรมการบริหารของบริษัท GGL และในมือยังมีบัตรมังกรทองคำดำที่มีวงเงินสูงสุดถึงเดือนละหมื่นล้านบาท นางจะมีสีหน้าอย่างไร?

แต่ตอนนี้ธีรพลยังไม่คิดที่จะเปิดเผยสถานะของตัวเอง

เขาจากตระกูลแดงชาติมาสิบห้าปีแล้ว ตระกูลแดงชาติที่แท้จริงเป็นอย่างไร เขาจำแทบไม่ได้แล้ว!

อีกอย่าง ตระกูลใหญ่ขนาดนั้น ย่อมมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันภายในไม่น้อย

ตอนนี้เขายังทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง ระมัดระวังตัวทำตัวให้ต่ำต้อยไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด!

เมื่อคิดได้ดังนั้น ธีรพลจึงพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า "แม่ครับ วันนี้ผมสร้างปัญหาให้แม่ต้องลำบากใจ ขอโทษด้วยนะครับ!"

เมื่อได้ยินคำขอโทษ สุนิษากลับยิ่งเดือดดาลหนักกว่าเดิม

"แกไม่ได้แค่สร้างปัญหาให้เราลำบากใจ! แต่ฉันว่าแกตั้งใจจะทำให้ครอบครัวเราถูกลบชื่อออกจากตระกูลอินทรจันทร์ถาวรเลยต่างหาก! ถ้าแกยังมียางอายอยู่บ้าง ก็รีบไสหัวออกไปจากบ้านฉันซะ!"

เมื่อเห็นแม่ของตัวเองดูถูกธีรพลขนาดนั้น อรุณีจึงรีบพูดแทรกขึ้นมา

"แม่คะ ยังไงธีรพลก็เป็นลูกเขยแม่นะ แม่พูดแรงเกินไปแล้ว!"

"เหอะ!" สุนิษาแค่นหัวเราะเย็นชา "มีลูกเขยแบบนี้ สู้ไม่มีซะยังจะดีกว่า!!"

เมื่อเห็นว่าคงห้ามแม่ตัวเองไม่ได้ อรุณีจึงผลักธีรพลเบาๆ

"คุณกลับเข้าห้องไปก่อนเถอะ"

เมื่อเห็นภรรยาออกโรงปกป้อง ธีรพลก็มองเธอด้วยสายตาซาบซึ้งใจ แล้วเดินกลับเข้าห้องไปอย่างว่าง่าย

ความจริงแล้วแม้พวกเขาจะแต่งงานกันมาสองปี แต่ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน

ทุกคืน เขาจะนอนบนโซฟาเดี่ยวข้างๆ ส่วนอรุณีนอนคนเดียวบนเตียง

แต่วันนี้ ธีรพลกลับนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก

เรื่องราวที่ต้องเผชิญในวันนี้มันเกินขอบเขตที่เขาจะรับไหวจริงๆ เขาทำตัวไม่ถูก

เมื่อเห็นว่าเขายังไม่นอน อรุณีจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

"ยังกังวลเรื่องคุณจันทร์เพ็ญอยู่เหรอ? ฉันเองก็มีเงินไม่มาก มีอยู่แค่สองแสน พรุ่งนี้คุณเอาไปแก้ขัดก่อนนะ!"

เมื่อเห็นความห่วงใยของภรรยา ธีรพลก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า

"คุณเก็บเงินของคุณไว้เถอะ ทางคุณจันทร์เพ็ญมีคนช่วยออกค่าใช้จ่ายให้แล้ว!"

พอได้ยินแบบนั้น อรุณีก็พูดด้วยความดีใจ "งั้นก็หมายความว่า คุณจันทร์เพ็ญรอดแล้วใช่ไหม?"

ธีรพลพยักหน้า "คุณจันทร์เพ็ญอุทิศทั้งชีวิตช่วยเหลือเด็กกำพร้ามาเป็นร้อยคน ยอมอดมื้อกินมื้อแต่ไม่เคยให้เด็กๆ ต้องลำบาก ตอนนี้ก็ถือว่าคนดีผีคุ้มแล้วล่ะ!"

อรุณีไม่ได้แปลกใจอะไร เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก "แบบนี้ก็ดีแล้ว คุณจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งขนาดนั้น"

"อืม!"

ธีรพลมีความรู้สึกซับซ้อนในใจ จึงไม่ได้พูดอะไรมาก

อรุณีขึ้นมาบนเตียง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจือความเหนื่อยหน่ายว่า "ช่วงนี้งานที่บริษัทเยอะมาก ฉันต้องรีบนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่หกโมงกว่าแน่ะ!"

ได้ยินดังนั้น ธีรพลก็ขมวดคิ้ว

"เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?"

เมื่อเจอคำถามของธีรพล อรุณีก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"ช่วงนี้ยอดขายบริษัทตกลงไปเยอะมาก คุณย่าอยากจะร่วมมือกับบริษัท GGL แต่ศักยภาพของเรามันต่ำเกินไป เขาไม่เห็นเราในสายตาเลยด้วยซ้ำ!"

พอได้ยินชื่อบริษัท GGL ธีรพลก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

"บริษัทอินทรจันทร์อยากร่วมมือกับบริษัท GGL งั้นเหรอ?"

อรุณียิ้มบางๆ ให้กับคำถามของเขา

"ไม่ใช่แค่เราอยากแล้วจะมีโอกาสหรอกนะ ขนาดพวกนรภัทรเองก็ยังมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทลูกในเครือของจีจีแอลแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง!"

ธีรพลพยักหน้าอย่างเข้าใจ

บริษัทอินทรจันทร์พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ร่วมงานกับบริษัท จีจีแอล

แต่ตระกูลอินทรจันทร์ไม่มีทางรู้เลยว่า ตอนนี้บริษัท GGL ได้กลายเป็นของเขา ธีรพลคนนี้แล้ว!

ธีรพลไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกไป

เรื่องที่พ่อแม่หนีออกจากเมืองหลวงในตอนนั้น แม้เขาจะไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด

แต่ธีรพลรู้อยู่แก่ใจว่า การแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลแดงชาติต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ

เขาควรจะทำตัวให้เงียบเชียบและต่ำต้อยที่สุดไว้ก่อนจะเป็นการดี

แต่หลังจากที่เขารับช่วงต่อบริษัท GGL แล้ว เขาก็น่าจะแอบช่วยเหลืออรุณีได้บ้าง เพราะถ้าไม่ใช่เพราะแต่งงานกับเขา อรุณีคงไม่ต้องมาโดนคนในตระกูลอินทรจันทร์รังแกแบบนี้!

เมื่อคิดได้ดังนั้น ธีรพลก็หมายมั่นปั้นมือในใจว่า สักวันหนึ่ง เขาจะทำให้ตระกูลอินทรจันทร์ต้องก้มหัวให้เขาจนเงยหน้าไม่ขึ้น!

......

หลับฝันดีตลอดคืน

วันรุ่งขึ้น ธีรพลก็เช่าจักรยานสาธารณะปั่นไปที่บริษัทจีจีแอล

ขณะที่กำลังรู้สึกปวดใจกับเงินสิบห้าบาทที่ถูกหักออกจากมือถือ ก็เห็นรถมายบัคคันหนึ่งมาจอดอยู่ไม่ไกล

เดิมทีธีรพลไม่ได้ใส่ใจ แต่พอมองดูดีๆ ผู้หญิงคนนั้นดูคุ้นตาชอบกล

หน้าอกตูมๆ กับสะโพกผายๆ นั่น มันลิลลี่ น้องสาวของอรุณีไม่ใช่เหรอ?

พอมองให้ชัดอีกที ผู้ชายข้างกายเธอก็คือนรภัทร

ธีรพลรู้สึกว่าวันนี้ฤกษ์ไม่ดี ไม่น่ามาบริษัทจีจีแอลเลยจริงๆ

ขณะที่กำลังจะเดินเลี่ยงออกไป ก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง

"พี่พล บังเอิญจังเลยนะ!"

แม้น้ำเสียงของลิลลี่จะดูสนิทสนม แต่กลับแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน

ธีรพลรู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายจำเขาได้แล้ว เขาจึงจำต้องหยุดเดิน หันไปยิ้มให้ลิลลี่แล้วถามว่า "ลิลลี่ มาทำอะไรที่บริษัทจีจีแอลเหรอ"

ได้ยินดังนั้น ลิลลี่ก็มองบนใส่

"พวกเราก็ต้องมีธุระสิถึงมา ไม่เหมือนพี่หรอกที่วันๆ เอาแต่อยู่บ้านไม่ทำอะไร!"

พูดถึงตรงนี้ ลิลลี่ก็พูดต่อด้วยความดูแคลน

"ได้ข่าวว่าพี่ชอบไปแย่งซื้อของลดราคาตามห้าง คงไม่ได้ได้ข่าวว่าที่นี่มีของลดราคา ก็เลยถ่อมาถึงนี่หรอกนะ!"

คำพูดแดกดันทำนองนี้ ธีรพลได้ยินมาจนชินชาแล้ว

ธีรพลยิ้มตอบ "พี่เห็นว่าตัวเองว่างงานอยู่ ได้ยินว่าช่วงนี้บริษัท GGL กำลังรับสมัครคน ก็เลยอยากมาลองสมัครดู จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้พี่สาวได้บ้าง!"

ได้ยินแบบนั้น ลิลลี่ก็หัวเราะเยาะ

"อย่างพี่เนี่ยนะจะเข้าบริษัทจีจีแอล? ไม่รู้เหรอว่าแม่บ้านที่นี่จบจากมหาวิทยาลัยดังๆ ทั้งนั้น?"

นรภัทรที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดเสริมขึ้นมาอย่างดูถูก

"พอเถอะลิลลี่ พี่เขยเธอคนนี้วุฒิก็ไม่มี ความสามารถก็ไม่ถึง!"

ลิลลี่หัวเราะคิกคัก

"แต่เขาก็ยังฝันเฟื่องได้อยู่นะคะ!"

เมื่อต้องฟังคำพูดดูถูกถากถางของทั้งคู่ สีหน้าของธีรพลก็ดูไม่ค่อยดีนัก

แม้ตอนนี้บริษัท GGL จะเป็นของเขา แต่เขาก็เปิดเผยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจดึงดูดความสนใจจากคนตระกูลเดิงได้

คิดได้ดังนั้น เขาจึงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด

"พี่มีธุระ ขอตัวก่อนนะ!"

พูดจบเขาก็เดินตรงไปทางบริษัท GGL ทันที

เมื่อเห็นธีรพลกล้าเมินใส่แบบนี้ นรภัทรก็หน้าตึงขึ้นมาทันที

พวกเขายอมลดตัวลงมาคุยกับไอ้ขี้แพ้อย่างธีรพลก็นับว่าให้เกียรติมากแล้ว

ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นเขตของบริษัทจีจีแอล เขาคงซัดหน้าธีรพลไปสักหมัดสองหมัดแล้ว!

ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร!

มองตามแผ่นหลังของธีรพล นรภัทรแค่นเสียงฮึดฮัด

"ขยะอย่างมันกล้าดียังไงเดินเข้าบริษัท GGL? เดี๋ยวโดนโยนออกมาเหมือนขยะเปียกก็ยังไม่รู้ตัว!"

ได้ยินเสียงไล่หลังมา ธีรพลสบถในใจ ฝากไว้ก่อนเถอะ สักวันเขาจะทำให้คนพวกนี้รู้ว่าใครกันแน่ที่เจ๋งที่สุด!

คิดแล้วเขาก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าบริษัท GGL ไปทันที

ลิลลี่รีบดึงแขนนรภัทรไว้

"วันนี้เรามาคุยงานสำคัญนะ อย่าไปเสียอารมณ์กับขยะพวกนี้เลย!"

นรภัทรสีหน้าดีขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ยินแบบนั้น

"คุณพูดถูก อย่าให้เสียงานเสียการเลย!"

ขณะที่พวกเขากำลังตรวจสอบสัญญาอยู่ด้านนอก

ธีรพลก็ขึ้นลิฟต์ตรงไปยังชั้นบนสุดของบริษัทจีจีแอล

ก่อนหน้านี้สมศักดิ์ได้แจ้งสถานะของธีรพลให้คนในบริษัททราบเป็นการลับแล้ว

ดังนั้นตลอดทางจึงไม่มีใครเข้ามาขวางธีรพลเลย

ออมทรัพย์ ผู้ช่วยอดีตประธานกรรมการบริหารบริษัท GGL ยืนรออยู่อย่างนอบน้อมที่หน้าประตู ในมือถือเอกสารส่งมอบงานของบริษัท

พูดถึงออมทรัพย์คนนี้ ที่นี่เธอขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงแกร่งแห่งวงการ!

ความสามารถในการทำงานของเธอโดดเด่นมาก โปรเจกต์ที่ผ่านมือเธอล้วนทำกำไรมหาศาล

ด้วยความสามารถที่เก่งกาจ เธอจึงเลื่อนตำแหน่งจากผู้จัดการฝ่ายขายขึ้นมาเป็นผู้ช่วยประธานกรรมการได้ภายในเวลาไม่เกินห้าปี

แม้ตอนนี้บริษัท GGL จะถูกตระกูลแดงชาติซื้อกิจการไปและเปลี่ยนตัวประธานคนใหม่ แต่สมศักดิ์ไม่ได้ไล่ออมทรัพย์ออก กลับตั้งใจให้เธอคอยเป็นพี่เลี้ยงแนะนำงานให้ธีรพลต่อไป

ออมทรัพย์เตรียมใจไว้แล้ว แต่พอได้เห็นตัวจริงของธีรพล เธอก็ยังอดแปลกใจไม่ได้

เธอไม่คิดว่านายน้อยตระกูลแดงชาติจะดูสุภาพและยังหนุ่มแน่นขนาดนี้

แม้จะแปลกใจ แต่ออมทรัพย์ก็ก้าวเข้าไปโค้งคำนับอย่างนอบน้อม

"นายน้อยคะ นี่คือธุรกิจและทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัท GGL เชิญทางนี้ค่ะ ดิฉันจะอธิบายรายละเอียดให้ฟังในห้องทำงาน"

ธีรพลพยักหน้า

อันที่จริงเขาก็แอบสำรวจออมทรัพย์อยู่เหมือนกัน

แม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน แต่ไม่เคยเจอตัวจริง

พอได้เห็นออมทรัพย์วันนี้ เขาค่อนข้างแปลกใจ

เพราะออมทรัพย์หุ่นดีมาก หน้าอกหน้าใจตู้มต้าม สะโพกดินระเบิด! ใบหน้าก็ไม่ได้ดูดุร้าย กลับดูเหมือนผู้ช่วยมืออาชีพที่เพียบพร้อม

เมื่อทั้งสองเข้ามาในห้องทำงาน ธีรพลก็นั่งลงบนเก้าอี้ประธานก่อน

ออมทรัพย์ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ จัดเรียงเอกสารเตรียมจะเริ่มบรรยาย

ธีรพลก็พูดแทรกขึ้นมาว่า

"วันหลังถ้ามีอะไรโทรหาผมได้เลย เรื่องงานแค่ทำสรุปมารายงานก็พอ!"

เขาเน้นเสียงหนักแน่น

"คุณยังคงเป็นคนดูแลบริหารจัดการบริษัท GGL เหมือนเดิม และห้ามเปิดเผยตัวตนของผมให้คนภายนอกรู้เด็ดขาด!"

ออมทรัพย์ไม่ได้แปลกใจกับคำสั่งนี้

เพราะคนที่สามารถซื้อบริษัท GGL ได้ทั้งบริษัท ย่อมมีเงินและอำนาจมากพอ

บริษัท GGL แค่นี้ คงไม่อยู่ในสายตาคนระดับนี้หรอก

ดังนั้นที่ธีรพลบอกว่าจะไม่เข้ามาบ่อยๆ จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

คิดได้ดังนั้น ออมทรัพย์ก้มศีรษะรับคำอย่างนอบน้อม

"ดิฉันทราบแล้วค่ะ ขอบพระคุณนายน้อยที่ไว้วางใจ ดิฉันจะบริหารจัดการบริษัทให้ดีที่สุดค่ะ! หากนายน้อยมีอะไรจะสั่งการ เรียกใช้ดิฉันได้ตลอดเวลานะคะ!"

มองดูออมทรัพย์ที่รู้งานตรงหน้า ธีรพลพยักหน้าพอใจ

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู ดังขึ้น พร้อมเสียงรายงานเบาๆ จากหน้าห้อง

"คุณออมครับ มีคนชื่อนรภัทรกับคู่หมั้นแจ้งความประสงค์ขอเข้าพบคุณครับ!"

ออมทรัพย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย

"บอกพวกเขาไปว่าตอนนี้ฉันกำลังประชุมอยู่ ให้รอที่ห้องรับรองแขกไปก่อน!"

คนหน้าห้องรับคำแล้วเดินจากไป

จังหวะนั้นเอง ธีรพลเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ว่า

"คุณสนิทกับนรภัทรคนนี้เหรอ?"

ได้ยินคำถามนั้น ออมทรัพย์รีบอธิบายด้วยความร้อนรน

ไม่สนิทค่ะ! แค่เขามีความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทลูกของ GGL ผลงานก็ถือว่าพอใช้ได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามติดต่อขอร่วมทุนเพิ่ม แต่ดิฉันยังไม่เคยตอบรับให้เข้าพบเลยค่ะ!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป