บทที่ 4 4
“ทำไมต้องไปส่ง” รชานนท์เลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างยียวน “ในเมื่อที่นี่คือบ้านของคุณ”
หญิงสาวอ้าปากค้าง ช็อกไปเสี้ยววินาที สมองเธออึงอลสับสนไปด้วยความสงสัยมากมายที่ประดังประเดเข้ามาจนแทบจะจุกอกตาย...
เธอไปผ่อนคลายที่ผับ แล้วจู่ๆ ก็มีผู้ชายแปลกหน้าพาเธอมาที่นี่ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเจ้าเล่ห์ ฉวยโอกาสจูบเธอไปถึงสองครั้ง
บ้านหลังใหญ่ หมาตัวโต และผู้ชายเอาแต่ใจ กำลังทำเธองุนงง สมองตั้งหลักไม่ทัน... อยู่ดีๆ เขาก็บอกว่าคฤหาสน์ราคาไม่ต่ำกว่าร้อยล้านหลังนี้เป็นบ้านของเธอ
ใจเย็นๆ ไว้สิปลอบขวัญ... หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ตั้งสติให้มั่น ท่องไว้ว่า ‘สติมา ปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา’
เมื่อสะกดความว้าวุ่นได้แล้ว เธอก็วางท่าสง่าผ่าเผย ยิ้มเย็นให้เขาอย่างสุขุม วางมาดอาจารย์ผู้ไม่หวั่นไหวต่ออะไรง่ายๆ “ฉันคิดว่าคุณพูดไม่เคลียร์ ฉันไม่รวยถึงขนาดจะอยู่บ้านราคาแพงขนาดนี้ได้”
“แต่ใครบางคนอยากให้คุณอยู่”
“ใครคะ”
“ผู้มีพระคุณของคุณยังไงละขวัญ”
คำตอบจากเขาไม่ได้ช่วยให้เธอกระจ่างขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้าม เธอกลับงงหนักกว่าเดิม
“ผู้มีพระคุณ? ใครคะ ยิ่งคุณพูด ฉันยิ่งงง”
“งั้นคุณก็เลิกถามได้แล้ว ตามผมมาให้เห็นกับตาเลยดีกว่า”
ปลอบขวัญมือสั่นพอๆ กับใจที่เต้นโครมคราม เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมตามไรผมทั้งๆ ที่อากาศหนาวเยือก ดวงตาที่ตกแต่งไว้จนหวานฉ่ำเริ่มเหล่ซ้ายที ขวาที หาทางหนีทีไล่ ก่อนจะวกสายตากลับไปมองคนตัวโตที่ตอนนี้ยืนเอามือไพล่หลัง
รีบฉวยจังหวะช่วงเขาเผลอ ถอดรองเท้าส้นสูงเหวี่ยงทิ้ง แล้ววิ่งหนีเอาตัวรอด เป้าหมายคือประตูรั้วที่ห่างออกไป
เธอไม่เจ็บเท้า เพราะมีหญ้าต้นเล็กๆ ตัดเจียนปลายสม่ำเสมอขึ้นคลุมผืนดินเอาไว้ทั่ว ทำให้เธอวิ่งถนัด ก้าวขายาวจนกระโปรงส่วนที่ผ่าข้างฉีกดังแคว่ก แต่เธอไม่สนใจจะมอง อีกนิดเดียวก็จะพ้นแล้ว... อีกนิด... เดียว
หญิงสาวเบิกตากว้าง เมื่อจู่ๆ ก็โดนคว้าตัวลอยขึ้นพาดบนบ่าแข็งกำยำของใครคนหนึ่ง เธออ้าปากค้าง ความหวังว่าจะรอดสลายหายวับไปในพริบตา
“อีตาบ้า คุณรชานนท์ ปล่อยฉันนะ” เธอดิ้นพล่าน ทุบอก ขาปัดป่าย แต่เขาดูจะไม่เจ็บปวดอะไรเลยสักนิด ราวกับกล้ามเนื้อเป็นก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น
“เรียกผมว่าพี่รัญชน์ก็ได้”
“ฉันไม่ได้สนิทกับคุณขนาดนั้นนะ”
“แต่อีกหน่อยเราต้องสนิทกันอยู่แล้ว”
“บ้า พูดจาบ้าๆ ฉันไม่เคยนึกอยากสนิทกับคนแปลกหน้าอย่างคุณเลย”
“ฝึกเรียกชื่อเล่นผมไว้ก็ไม่เสียหาย วันไหนได้ผมเป็นผัวขึ้นมา คุณจะได้ไม่ต้องกระดากปากเวลาเรียกพี่รัญชน์ไง”
“ฮะ!” เหมือนโลกถล่มตรงหน้า หญิงสาวเหมือนโดนสูบวิญญาณออกจากร่าง นิ่งไปครู่หนึ่งก็แว้ดใส่ข้างหูคนที่แบกพาเธอเข้าบ้าน “พูดอะไรน่ะ ผัวเผออะไรกัน อย่ามาตู่นะ”
“ตู่ที่ไหน เราจะไปจดทะเบียนสมรสกันเร็วๆ นี้นะ รู้ไหม”
“ไม่รู้เว้ย!” ปลอบขวัญโวยลั่น และเขาก็สิ้นความอดทน
“แหกปากตะโกนอยู่ได้ หูผมจะแตกอยู่แล้ว”
“แตกไปเลยสิดี ฉันไม่อยากแต่งงาน ฉันไม่ได้รักคุณ ได้ยินไหม” เธอไม่ลดระดับความดังลงเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามกลับทวีดังขึ้นจนชายหนุ่มชักโมโห
“แล้วคิดว่าผมนึกพิศวาสคุณนักหรือไง ผู้หญิงนุ่งสั้นโชว์สะดือ แถมติดขนตาปลอมหนายังกับกันสาด ปากแดงเหมือนดูดเลือดใครมา แล้วไอ้เปลือกตาสีฟ้าๆ นั่น มองแล้วหลอนเป็นบ้า ยิ่งคิ้วที่เขียนไว้หนาพอๆ กับปลิงทะเล เห็นแล้วผมรู้สึกเครียดมากแค่ไหน คุณรู้ไหม คุณจะแต่งเข้าผับไปอ่อยหนุ่ม หรือจะแต่งเล่นงิ้วกันแน่ ผมสับสนชะมัด”
หญิงสาวหน้าร้อนผ่าว อยากตบปากเขาใจจะขาด แต่ตบไม่ได้ จึงทำได้เพียงค่อนแคะอย่างไม่พอใจ “ปากจัด”
“ถ้าคุณแต่งเพื่ออ่อยหนุ่ม ผมบอกได้เลยว่าผู้ชายทุกคนหนีคุณหมดแน่ ผมยอมแต่งงานกับคุณก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
“แต่ฉันอยากมีกรรมมากกว่า จู่ๆ ก็ลักพาตัวฉันมาแล้วจะให้ฉันแต่งงานด้วย คุณประสาทเสียหรือเปล่า”
“ผมก็อยากเป็นบ้าเหมือนกัน แค่คิดว่าต้องเป็นผัวงิ้ว ผมก็รู้สึกทนไม่ได้”
“แล้วใครให้ทนละ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะงับหูคุณให้ขาด”
“เอาสิ... งับเลย อยากมีผัวหูแหว่งก็เชิญกัดให้ขาดเลยครับ โน่น... คุณเห็นอะไรไหม” ก่อนจะก้าวเท้าเข้าถึงตัวบ้าน เขาได้ชี้มือไปทางซ้าย เธอเหลียวมองตาม เห็นเวลาทีขนาดใหญ่ตั้งเป็นเงาตะคุ่มเย้ยแสงจันทร์ โต๊ะอีกมากมายวางเรียงรายเป็นสัดส่วน เธอเพิ่งมีโอกาสสังเกตเห็นว่าที่นี่เหมือนเตรียมจะจัดงานบางอย่าง
“จะมีงานเลี้ยงอะไรกัน”
“งานเลี้ยงฉลองวันสมรสของเราสองคนไงละ อยากเห็นห้องหอไหม ผมจะพาไปดู”
“นี่มันอะไรกัน คุณพูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
“งั้นไปคุยกับใครคนหนึ่ง แล้วคุณจะรู้เอง”
เขาพาเธอมาที่ห้องหนึ่ง ส่งเสียงเรียก “คุณย่าครับ ปลอบขวัญมาแล้วนะ”
“มาแล้วเรอะ ย่ากำลังรออยู่เชียว ไอ้หนู รีบพาหลานสะใภ้ของย่าเข้ามาสิ อยากเห็นหน้าแย่แล้ว” เสียงแก่แหบเครือแว่วกลับมา ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ว่างผลักประตูเปิดแล้วแบกปลอบขวัญเข้าไป
ภายในห้องสว่างไสวด้วยไฟนีออน ประดับตกแต่งด้วยโทนสีม่วง กลางห้องคือเตียงกว้างที่มีร่างผอมบางของหญิงชรา ผมขาวโพลนนอนเอาหัวพิงหมอนจ้องมองไปทางหญิงสาว
