บทที่ 8 8
หญิงสาวลุกไปเปิดตู้ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นเสื้อผ้านับร้อยอัดแน่นแขวนเรียงรายอยู่ในนั้น เธอเลือกหยิบชุดที่ดูเรียบง่ายที่สุด... เสื้อกล้ามกับกระโปรงสั้นแค่เข่าสีครีม เดินเข้าห้องน้ำ ไม่ถึงสิบนาทีก็กลับออกมานอนแผ่บนเตียง คว้าโทรศัพท์หมายจะโทรหาปราจีน แต่โทรไม่ติด... เพื่อนสนิทคงปิดมือถือ
ปลอบขวัญนอนมองเพดานห้อง นึกถึงเรื่องค่ำคืนนี้ที่ประสบมา คิดวนเวียนสับสนจนกระทั่งเผลอม่อยหลับไป
โดยเธอไม่อาจรู้เลยว่าช่วงที่เธอเข้าสู่นิทรารมย์นั้น จุดที่อยู่สูงระดับหลังคาตู้... อากาศแตกออกแหวกเป็นช่อง เสียงดังเปรี๊ยะคล้ายไฟช็อตอยู่พักหนึ่งก่อนจะคืนสู่ความปกติ ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น!
เช้าวันใหม่
ปลอบขวัญสวมชุดกางเกงยีน เสื้อยืด ท่าทางทะมัดทะแมง เดินสวมรองเท้าส้นสูงอยู่ที่สวนหย่อมข้างบ้าน กลิ่นดอกไม้หอมระริน แสงอุษาเริ่มจับขอบฟ้าส่องสีทองผ่องทั่วนภา คนสวนสองคนกำลังตัดแต่งพุ่มไม้ให้เป็นรูปสัตว์ต่างๆ มีหลายครั้งที่ชายฉกรรจ์เหล่านั้นจะเหลือบมองเธออย่างให้ความสนใจ
“พี่ๆ” หญิงสาวเข้าไปตีซี้ทันที หนุ่มร่างเล็กแต่แกร่งไปทั้งตัวดูจะเป็นคนช่างพูดที่สุดได้หยุดงานในมือแล้วถาม
“ครับ ว่าไงน้อง”
“พี่ทำงานที่นี่มานานแล้วเหรอ”
“สักสองปีได้แล้วน้อง ทำไม หรือว่า...” แก้มดำๆ เริ่มซับสีแดง “พี่ยังไม่มีแฟนนะน้อง ถ้าจะจีบก็รีบจีบตั้งแต่ตอนนี้ พลาดโอกาสนี้ไป น้องจะหมดหวังนะ”
ปลอบขวัญค้อนขวับ นึกอยากอาเจียน แต่เพราะชายตรงหน้ายังมีประโยชน์ เธอจึงโปรยยิ้มหวาน... ยิ้มไปเผื่อหนุ่มคนสวนอีกคนที่ตั้งใจทำงาน แต่คอยกางหูผึ่งรอฟังด้วย
“น้องแค่อยากรู้ว่าเขาจะจัดงานอะไรกันหรือจ๊ะ เห็นจัดโต๊ะ จัดเวทีกัน”
“อ๋อ งานแต่งคุณรัญชน์น่ะ เห็นว่าจะแต่งกับสาวเชียงใหม่ ชื่อขวัญหรือไงนี่ละ พี่ละอยากเห็นจริงๆ ว่าผู้หญิงแบบไหนที่ทำให้คุณรัญชน์ยอมสละโสด ที่ผ่านมาออกจะใจแข็ง แต่ถ้าให้เดา พี่คิดว่าคงเป็นสาวสวย เปรี้ยว ไฮโซ ทันสมัยแน่ๆ”
หญิงสาวแก้มร้อนผ่าว เผลอยกมือลูบหน้าตัวเองโดยอัตโนมัติ เธอตรงข้ามกับที่เขาพูดมาแทบทุกอย่าง เพราะเธอเป็นเพียงผู้หญิงหน้าตาธรรมดา จืดๆ เป็นครูเชยๆ ไม่รวย “เอ่อ... พี่ น้องขอถามอีกอย่างนะ”
“เดี๋ยวๆ ให้พี่ถามน้องบ้าง น้องเป็นใคร สาวใช้คนใหม่หรือ? หน้าตาไม่คุ้นเลย แต่น้องน่ารักดีนะ ปากนิดจมูกหน่อย คือพี่ชื่อบุญจ่อยนะ พี่ยังโสด...” ก่อนที่หนุ่มร่างเล็กจะร่ายต่อไป ปลอบขวัญก็ชิงขัด
“น้องไม่ใช่สาวใช้หรอกค่ะ พอดีถูก‘เชิญ’ให้มาธุระที่นี่ แต่ตอนนี้อยากกลับแล้ว พี่จ่อยพอจะเรียกแท็กซี่ให้น้องสักคันได้ไหม”
“แล้วเราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่าละน้อง”
“เอิ่ม... โลกกลม ยังไงก็ได้เจอค่ะ”
“พี่จะช่วยน้องก็ได้ แต่พี่ยังไม่รู้จักชื่อของน้องเลย”
หญิงสาวไม่ทันจะตอบ เสียงทุ้มก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ทำไมไม่บอกบุญจ่อยไปละว่าคุณชื่อปลอบขวัญ ว่าที่เจ้าสาวของผม”
ปลอบขวัญหันขวับไปมองทางเบื้องหลัง ร่างสูงตระหง่านยืนเอามือไพล่หลัง สีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย ยากที่จะคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่คนที่มีอาการผวาเยือกเหมือนเจอปีศาจร้ายคือบุญจ่อยกับเพื่อนร่วมงาน ที่หน้าซีดแทบไม่มีสีเลือดมาหล่อเลี้ยง
“คุณรัญชน์!”
“ทำไมทำหน้ายังงั้นละบุญจ๋อย ว่าไง... คุยอะไรกับเจ้าสาวของผมละ ท่าทางน่าสนุกดีนะ ขอผมคุยด้วยสิ”
“คุณขวัญครับ ผมคงไม่สะดวกไปหาแท็กซี่ให้คุณ ถ้าจะไปไหนก็ให้คุณรัญชน์ไปส่งเถอะครับ” บุญจ่อยใส่เกียร์สุนัข คว้าแขนต๋อง เดินเลี่ยงหลบไปทางอื่นทันที พริบตาเดียวก็หายวับเหมือนไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
“จะเรียกแท็กซี่ไปไหนเหรอ” รชานนท์ถามเสียงเย็น ขณะที่หญิงสาวยิ้มแหย
“จะกลับบ้านค่ะ ฉันเป็นครู ขาดสอนไม่ได้หรอก”
“วันนี้วันเสาร์ พอถึงวันจันทร์เราแต่งงานกัน คุณก็หยุดสอนสักวันคงไม่เป็นอะไรหรอก”
“ฉันกลัวเพื่อนเป็นห่วง”
“โทรสิ”
“โทรไม่ติด สงสัยยัยปลาจะปิดเครื่อง”
“งั้นก็รอหน่อย เดี๋ยวเพื่อนคุณก็เปิดเครื่องเอง”
อ้างสารพัดเหตุผล เขาก็มีข้อแย้งได้หมด หญิงสาวชักนึกเคืองจึงแหวรัว “ขอพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน ฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาๆ แต่แสนจะสงบสุขเหมือนเดิม ไม่อยากแต่งงานกับมหาเศรษฐีที่ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายค่ะ ฉันรู้ว่าคุณย่ามีพระคุณ แต่บุญคุณสามารถตอบแทนได้หลายแบบ ไม่ใช่ว่าจะต้องแต่งงานเพื่อทดแทนคุณอย่างเดียวสักหน่อย”
“มันก็จริงของคุณ แต่ผมรักคุณย่า คุณเองก็เคารพคุณย่า เราสองคนไม่มีทางเลือก คุณไม่มีแฟน ไม่เห็นจะมีปัญหาเลยหากเราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน”
“มีปัญหาสิ ฉันไม่ได้รักคุณ”
“ผมก็ไม่ได้รักคุณเหมือนกันนั่นแหละ”
สองหนุ่มสาวจ้องตากันอย่างเอาเรื่อง ทันใดนั้น...
“ท่านครับ เจ้าไรโด้ไปแล้วนะ บอกให้คุณขวัญระวังตัวด้วย” โจ้เอ็ดอึง วิ่งตามหลังสุนัขพันธ์ร็อตไวเลอร์ซึ่งวิ่งโผนทะยานอย่างร่าเริงตรงมาหาเจ้านายที่กำลังยืนคุยอยู่กับปลอบขวัญ
“คุณขวัญ... ระวัง” รชานนท์เอาตัวเข้าขวาง แต่หญิงสาวเดินออกจากที่กำบังแล้วชี้หน้าไรโด้คาดโทษ
“ห้ามซ่าส์นะ ถ้าซ่าส์จะโดนเตะอีก รู้ไหม”
งี้ด... มันคอหด เบรกกะทันหัน ก่อนเมินปลอบขวัญแล้วไปคลอเคลียเอาหัวอันใหญ่โตถูไถรชานนท์ วูบหนึ่งที่หญิงสาวเห็นเหมือนมันหันมาปรายตามองเธออย่างเยาะหยัน
‘ใจเย็นไว้สิขวัญ’... เธอบอกตัวเองในใจ ‘มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่นึกหมั่นไส้หมา อย่าไปสนใจมันเลย’
“ทำไมคุณมองไรโด้เหมือนอยากจะกลืนกิน” ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต พลางลูบหัวสุนัขตัวโปรด
“กลืนกินบ้าอะไร ตัวใหญ่ยังกับลูกม้า กินไม่ลงหรอกค่ะ ลักษณะเนื้อแน่นฟิตแบบนี้น่าเอาไปเป็นกระสอบทรายมากกว่าเป็นอาหาร”
มันคงเดาได้ว่าเธอไม่ชอบมันสักเท่าไหร่นัก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจึงสะบัดมองราวจะค้อน... เออ แฮะ เจ้าหมาตัวนี้จริตจะก้านแพรวพราวน่าดู สมแล้วที่เป็นตัวเมีย
“คุณเนี่ย เอะอะก็จะใช้กำลัง”
“เอ้า ก็เจ้าไรโด้ของคุณมันใช้กำลังกับฉันก่อนนี่คะ”
“ให้มันแล้วๆ ไปสิ ไหนๆ เรื่องก็ผ่านมาแล้ว ผูกมิตรกันไว้ดีกว่านะ”
“ฉันว่านะ...” หญิงสาวจับคางตัวเองท่าทางครุ่นคิด แววตาเจ้าเล่ห์ “ที่มันดุคงเป็นเพราะชื่อของมันแน่ๆ”
“ยังไง?”
