บทที่ 68 68

เธอถอดมันทิ้งเอาไว้บนโต๊ะหัวเตียงเหมือนว่าแหวนวงนั้นทำให้เธอร้อนจนสวมใส่มันไม่ได้อีกต่อไป

เธอไม่คิดจะเขียนจดหมายสั่งลาคนใจร้าย ไม่พร่ำเพ้อว่ารักเขาขนาดไหน ให้เขาสมเพชเวทนาและดูถูกเอาได้ เธอจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย จะไม่ให้ใครตามเจอ

ปิ่นปัทมาหยิบกระปุกออมสินเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมา ในนั้นบรรจุเงินที่เธอนำขนมไปส่งขายเอาไว้ เพราะปกติเธอไม่เคยขอเงินเขมชาติใช้เลย เขาก็ให้เฉพาะค่ากับข้าว ของใช้ในบ้าน ส่วนใหญ่ของใช้และเสื้อผ้าเขาซื้อให้ โชคดีที่เธอไม่ได้งอมืองอเท้าขอเงินใครๆ ให้เสียศักดิ์ศรี

“น้องหมูไปกับพี่ปัทนะคะ” กระปุกออมสินหมูเล็กๆ ที่เธอเคยไปเดินตลาดกับพุดกรองและซื้อมาเพราะเห็นว่าน่ารักดี ถูกกอดเอาไว้แนบอก

ปิ่นปัทมาเดินอุ๊ยอ้ายๆ ออกจากบ้านอย่างมุ่งมั่น เธอเดินไปเรื่อยๆ พยายามระมัดระวังไม่ให้มีใครเห็น หนทางที่เดินไปช่างยาวนานเหลือเกิน แสงแดดที่สาดส่องมากระทบร่างทำให้เธอรู้สึกตาพร่า ทำไมมันร้อนระอุแบบนี้ก็ไม่รู้

“ลูกจ๋า ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเราพักกันก่อน” เธอเดินไปนั่งใต้ร่มไม้เพราะรู้สึกเหมือนจะเป็นลม มือบางหยิบใบไม้ขึ้นมาพัดเบาๆ เพื่อคลายความร้อนที่เกิดขึ้น

ปิ่นปัทมาเหลือบเห็นชะนีคู่หนึ่งซึ่งอยู่ด้วยกัน มีลูกน้อยเล็กๆ ห้อยโหนอยู่ใกล้ๆ แล้วรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณขอบตา น้ำตาของเธอรินไหล เธอกัดฟันเดินต่อไป ที่ต้องมาทางนี้เพราะไม่อยากให้คนในไร่เห็น รู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมอีกครั้ง เธอนั่งลงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหอบหายใจสะท้อน สายตาพร่ามัวมองเห็นยอดหญ้าที่ถูกแดดแผดเผาจนแห้งแล้ง หัวใจของเธอก็แห้งแล้งตามไปด้วย

เขมชาติแทบคลั่งเมื่อกลับเข้าบ้านมาแต่ไม่เห็นคนเป็นภรรยาอยู่บ้าน เขาเดินตามหาเสียทั่ว เรียกพุดกรองมาถาม เรียกคนงานออกตามหาเมื่อไม่มีใครเห็น หัวใจของเขาว้าวุ่นอย่างที่สุด ทำไมปิ่นปัทมาหายตัวไปแล้วไม่มีใครเห็นกันเล่า เขาเหลือบมองแหวนเพชรเม็ดงามที่เคยซื้อให้ กระเป๋าใบเก่าๆ ของเธอหายไปด้วย หัวใจของเขายิ่งร้อนรุ่มเหมือนไฟแผดเผา

ชายหนุ่มควบม้าออกไปตามหาเพราะสะดวกที่สุดและเร็วที่สุด เขาตามหาคนเป็นภรรยาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง คิดไปว่าเธอจะเป็นอันตราย เพราะโทรหาปลายรุ้งกับชานนท์ทั้งสองก็ไปฮันนีมูนต่างประเทศ โทรหารัตนาอีกฝ่ายก็บอกว่าไม่ได้ไปที่บ้าน

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอีกครั้งเป็นรัตนา ท่านเล่าว่าปิ่นปัทมาถามอะไรแปลกๆ พอได้ยินปลายสายพูดแบบนั้นเขาก็อยากเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง

“ปัท เธอไปไหนนะ ฉันรักเธอนะ” เขากลัวว่าเธอจะได้ยินในสิ่งที่เขาพูดกับคนเป็นป้าและอาจจะฟังไม่หมด และอาจจะหนีเตลิดไปเพราะความเสียใจ เขานะเหรอจะทิ้งเธอ เขารักเธอจนจะบ้าอยู่แล้ว ทำไมเธอถึงไม่ถาม เธอไม่รู้เลยเหรอไงว่าเขารักเธอแค่ไหน สิ่งที่เขาแสดงออกไม่มีค่าไม่มีความหมายกับเธอบ้างหรือไง

เขมชาติสั่งลูกน้องให้ออกตามหาเมียเขาให้เจอ ถ้าไม่เจอไม่ต้องกลับมา ไล่ออกทุกคน! ทุกคนต่างแข็งขันแหตามหาปิ่นปัทมากันจนทั่วไร่ แถมชายหนุ่มยังขอให้เพื่อนที่เป็นตำรวจช่วยตามหาด้วยอีกแรง

ตลอดระยะเวลาปิ่นปัทมาไม่เคยไปมาหาสู่กับใคร นอกจากน้องสาว มารดาเลี้ยง เธอไม่มีเรื่องผู้ชายให้เขาต้องกังวลใจหรือหวาดระแวง ทำให้เขายิ่งเครียดจัดไม่รู้ว่าเธอหายไปไหน ไปกับใคร เพราะภรรยาของเขาไม่มีสังคมหรือเพื่อนฝูงมากมายเหมือนกับคนอื่นๆ

สายฝนที่เริ่มโปรยเม็ดลงมาทำให้เขายิ่งร้อนรุ่มในใจ เขมชาติควบม้าออกตามหาอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนที่เจ้าม้าตัวโปรดของเขาจะหยุดวิ่งแถมยังยกขาหน้าขึ้นทั้งสองขา เหมือนมีสิ่งใดกีดขวางอยู่ เขมชาติมองให้ชัดอีกครั้ง ก็เจอกับร่างของใครคนหนึ่ง

“ปัท!” เขารีบถลาลงจากม้าตรงเข้าช้อนร่างอวบเอาไว้

“อย่าเป็นอะไรนะ ฉันรักเธอนะ” เขาพูดเสียงละล่ำละลัก ดวงตาแดงก่ำเมื่อเห็นร่างอ่อนแรงของคนเป็นเมีย

“คะ... คุณเขม” ปิ่นปัทมายกมือขึ้นลูบใบหน้าคมคายของเขา เธอกะพริบตาปริบๆ เป็นไปได้ยังไงกันนะ ที่เธอเห็นเขาร้องไห้

“รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงเธอแค่ไหน เธอหนีฉันมาทำไม” เขาพูดเสียงขื่น ทนไม่ได้หากต้องเสียเธอไป

“ปะ... ปวดท้องค่ะ ปัทปะ... ปวดท้อง” คนที่ถูกช้อนขึ้นมาพูดอย่างอ่อนแรง สายฝนเม็ดโตที่ค่อยๆ โปรยลงมาทำให้ปิ่นปัทมาได้สติอีกครั้ง เธอจำได้ว่าเดินมาจนเหนื่อย และอากาศร้อนมาก ก่อนสติจะดับวูบลงไป รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในอ้อมกอดของเขมชาติเรียบร้อยแล้ว

“ทำใจดีๆ เอาไว้นะ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว เธอไม่ต้องกลัวอะไร ฉันรักเธอที่สุดคนดี รักเธอสุดหัวใจ จะไม่ยอมให้เธอกับลูกเป็นอะไรเด็ดขาด” เขากอดเธอแนบอก คนงานที่ตามหาปิ่นปัทมาดีใจที่พบเจ้านายสาว หลายคนช่วยกันจัดการนำรถมารับร่างอวบขึ้นไปแล้วรีบพาส่งโรงพยาบาลทันที

“ตาเขม หนูปัทเป็นยังไงบ้าง” คุณนวลแขที่ตามมาที่โรงพยาบาลเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ไม่คิดเลยว่าปิ่นปัทมาจะหนีออกจากบ้านจนไปเป็นลมหมดสติและเจ็บท้องคลอดกะทันหันแบบนี้

“หมอกำลังทำคลอดอยู่ครับ” น้ำเสียงของเขมชาติเคร่งเครียด สายตาของเขามองแค่ประตูห้องฉุกเฉินเพียงอย่างเดียว

“ทำไมถึงหนีไปล่ะ แม่ปัทนี่ยังไง เกือบเอาตัวเองกับลูกไปตาย ดีที่เขมไปเจอเสียก่อน” คุณนวลแขพูดอย่างตำหนิ

“ปัทคงได้ยินที่พวกเราคุยกันครับคุณป้า”

“ได้ยินเรื่องนั้นนะรึ รู้ได้ยังไงว่าเขาได้ยินเรื่องนั้น”

“เมื่อตอนสายๆ ปัทโทรไปถามรัตค่ะ รัตนึกว่าคุณนายกับคุณเขมบอกปิ่นปัทมาเรื่องข้อตกลงการใช้หนี้ในตอนนั้น รัตก็เลยขอโทษยายปัทไป” คนที่ตอบคำถามนี้คือรัตนา

“ตายแล้ว นี่คงคิดว่าจะโดนพรากแม่พรากลูกอย่างนั้นเหรอ” นวลแขรู้สึกตกใจขึ้นมาทันที

“น้ำเสียงของยายปัทไม่ค่อยดีค่ะ แต่ฉันก็ไม่ได้นึกติดใจอะไร จนกระทั่งคุณเขมโทรไปถาม ตอนแรกก็ไม่ได้นึกอะไร แต่พอคิดไปถึงตอนที่ยายปัทโทรมาถาม รัตก็เลยรีบบอกเรื่องนี้ให้คุณเขมฟังทันที นี่ก็รีบมาฟังข่าวน่ะค่ะ เป็นห่วงยายปัท ปกติยายปัทเป็นคนไม่มีปากเสียง มีอะไรก็ไม่ค่อยพูด มักจะเก็บไว้คนเดียว” รัตนาเองก็สำนึกผิด ใบหน้าหมองลงถนัดตา

“เดี๋ยวปิ่นปัทมาฟื้นขึ้นมาคงต้องคุยกันยกใหญ่” คุณนวลขพูดขึ้น ต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ปิ่นปัทมาฟัง จะได้เลิกเข้าใจผิด

“พวกคุณจะพรากลูกพรากแม่จริงๆ เหรอคะ” รัตนาเอ่ยถาม รู้สึกสงสารปิ่นปัทมาขึ้นมาอย่างท่วมท้น

“ใครบอกเธอกันล่ะ” คุณนวลแขถามกลับ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็คงไม่ยอมค่ะ บ้านและที่ดินเท่าไหร่ดิฉันจะหาเงินมาไถ่คืน ไม่เอายายปัทขัดดอกอีกแล้ว”

“จะไปกันใหญ่แล้ว ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ อีกอย่างหลานชายของฉันก็รักหนูปัทจริงๆ”

“จริงเหรอคะนี่” รัตนามีสีหน้าดีขึ้น

“แม่ปัทนี่ก็แปลก คิดเองเออเอง ไม่ยอมถามให้ดีเสียก่อน ฉันถามตาเขมจริงๆ เรื่องลูก ไม่แน่ใจว่าหลานชายฉันเขาคิดยังไงเรื่องนี้ เพราะเรื่องปิ่นปัทมาฉันก็ยอมรับว่ามัดมือชก ตาเขมเองไม่อยากขัดใจเลยรับมาเป็นเมีย แต่เมื่อเขาอยากใช้ชีวิตกับปิ่นปัทมาไปชั่วชีวิต คนเป็นป้าที่รักหลานอย่างฉันจะไม่ยอมได้อย่างไรกัน”

“แค่ได้ยินแบบนี้ก็เบาใจแล้วล่ะค่ะ รัตเองก็ผิดที่ทำกับปิ่นปัทมาแบบนี้ รัตสำนึกผิดแล้วจริงๆ เพราะการพนันเข้าสิงและความคิดเห็นแก่ตัวแท้ๆ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป