บทที่ 4 Chapter 4

ที่น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด คนพวกนี้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเธอ ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะเป็นกลุ่มกองโจรที่มีข่าวไปทั่วโลก จับตัวคนมีชื่อเสียงมีความสำคัญเพื่อต่อรองอะไรสักอย่างกับทางภาครัฐ เธออาจไม่ใช่คนมีชื่อเสียงหรือเป็นบุคคลสำคัญ แต่ในฐานะบุตรสาวของตัวแทนผู้ส่งออกข้าวและอาหารแห้งรายใหญ่ที่บันดัรทำการค้าด้วยก็คงมีประโยชน์ไม่น้อย หากเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เรื่องคงไม่เงียบหายจบไปง่ายๆ มันอาจลุกลามบานปลายเป็นปัญหาระดับชาติ

สงครามศาสนา สงครามระหว่างเชื้อชาติ ปัญหาเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนลุกลามบานปลาย ไม่ว่าคนพวกนี้มีจุดประสงค์ใดแฝง พราวพิลาสต้องเอาตัวให้รอดจากสถานการณ์นี้ก่อนที่เธอจะกลายเป็นหนึ่งในเหยื่อของสถานการณ์ที่ไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้น

“เท่าไหร่ดีนะสำหรับคนสวยๆ เท่าไหร่ถึงจะสมน้ำสมเนื้อกับบุตรีมิสเตอร์ไพรัช นักธุรกิจหลายร้อยล้านจากประเทศไทย”

เสียงทุ้มเนิบช้าคล้ายว่ากำลังพูดเรื่องทั่วๆ ไป พราวพิลาสยิ่งฟังก็ยิ่งหน้าถอดสี เธอไม่ใช่นักเจรจาที่ดีนักในสภาวะจิตใจถูกกดดันด้วยความกลัวอย่างเวลานี้ พอดวงตาคมดุตวัดขึ้นมามองสบตา ร่างบางสะดุ้งเฮือกและเกือบกระโจนหนีทันที

โจรก็คือโจร... ไม่ว่าชาติใดพูดภาษาแบบไหน คนดีที่ไหนจะมาเป็นโจร อีกอย่างเธอไม่นึกหวังหรอกว่าจะให้โจรห้าร้อยพวกนี้ตกหลุมรักเสน่ห์ความสวยงามเย้ายวนของเธอเหมือนพระเอกในนิยายที่ตกหลุมรักนางเอกน่ะ เรื่องแบบนั้นมันไม่มีในชีวิตจริง

ชายหนุ่มผู้ถูกขนานนามว่าโจรเกือบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ไหวกับสีหน้าหวาดๆ แทบร้องไห้อยู่รอมร่อของหญิงสาว ยิ่งร่างบางระหงนั้นสั่นเทา ความสงสารกอปรกับตนเองก็หาใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับอิสตรี ยิ่งสวยๆ แบบนี้เขาไม่มีทางทำใจแข็งพูดหลอกล้อให้ขวัญเสียได้นานหรอก

“เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันจริงๆ จังๆ ดีกว่า พวกเราไม่ใช่โจรหรอกนะมิส”

“ฉันไม่เชื่อ แกไม่ต้องมาโกหก ถึงต้องถูกฆ่าตายก็ไม่มีวันที่ฉันจะยอมให้แกมาแตะต้องตัวหรอก”

“นี่ไปกันใหญ่แล้วนะมิส ฟังเสียบ้างสิ”

“แกต้องการอะไรล่ะ จะบอกให้นะ ถ้าแกต้องการให้ทางรัฐบาลของเรามาสนใจเรื่องขี้ปะติ๋วที่แกคิดจะทำก็ผิดถนัด ฉันก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ พวกเขาไม่สนใจหรอก ไม่ว่าแกจะจับฉันมาทำไมก็ตาม”

“จะไม่ตีค่าราคาตัวเองต่ำไปรึไงมิสพราวพิลาส แล้วมิสคิดว่า เราต้องการให้รัฐบาลของมิสให้ความสนใจเรื่องนี้เพื่ออะไรกัน”

“จะสูงต่ำยังไง ฉันก็ไม่มีทางให้พวกแกสมปรารถนาหรอก ไม่ต้องมาแกล้งทำไขสือ ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าพวกโจรทะเลทรายชอบจับตัวคนเรียกค่าไถ่น่ะ”

พราวพิลาสตัดสินใจคว้าของใกล้มือขว้างเข้าใส่แบบไม่คิด ถุงผ้า กระเป๋า ของใช้เล็กๆ น้อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ตะเกียงแก้วใสข้างในบรรจุหลอดตะเกียบเล็กๆ ที่กำลังส่องแสงให้ความสว่างทั่วกระโจม ก็ถูกติดปีกบินเข้าหาชายหนุ่มร่างสูง

คนแบบเธอ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ถึงต้องตาย ก็ไม่มีทางยอมพวกโจรชั่วช้านี้

“หยุดนะมิส”

เบนจามินคำรามสั่งเสียงดุ เมื่อพบกับพายุความพยศ เขาไม่คิดว่าเธอจะพยศร้ายแบบนี้ ข้าวของเล็กๆ พวกนั้นไม่สามารถทำอันตรายอะไรเขาได้แม้รอยขีดข่วนเท่าเล็บแมว ผู้หญิงอะไรไร้เหตุผลสิ้นดี ตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง แต่กลับไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตนเสียเลย

แบบนี้นี่เขาเรียกว่าโง่เง่าเอามากๆ

“ไม่หยุด อย่ามาสั่งฉัน ถึงต้องตาย ฉันไม่มีทางให้โจรชั่วอย่างแกมาทำร้ายฉันหรอก”

พราวพิลาสอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายวุ่นวายกับการปัดข้าวของพุ่งตัวออกนอกกระโจม ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นถึงแชมป์วิ่งเหรียญทองของมหาวิทยาลัยเลยเชียว เรื่องความไวนั้นหาตัวจับยาก โดดออกพ้นกระโจม สายตาปะทะเข้ากับชายร่างใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ถัดไปจากกระโจมนั้น เมื่อมันลุกขึ้น คบไฟถาดเล็กๆ ที่วางอยู่บนเสาไม้ก็ถูกผลักเต็มแรง เศษการเผาไหม้แดงๆ ฝุ่นเถ้า และเชื้อไฟปลิวว่อน เธอหันไปหาอีกอันผลักมันใส่กระโจมหลังนั้นทันทีในจังหวะที่ชายในกระโจมพุ่งออกมา เธอก็โกยอ้าวแบบไม่เหลียวหลัง

“ฝ่า...”

“ไม่ต้อง ฉันจัดการเอง”

เบนจามินยกมือห้ามนายทหารที่พุ่งเข้ามา ก่อนร่างสูงจะทะยานตามสาวแสบที่อาจหาญบ้าบิ่น

“เกิดอะไรขึ้น” ราชองครักษ์ฟาดิล ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษผู้เป็นทั้งคนสนิทและเป็นมือขวาคอยรับใช้ใกล้ชิดชีคเบนจามินรีบรุดมายังที่เกิดเหตุ เช่นเดียวกันทหารคนอื่นที่มารวมตัวกันยังจุดเกิดเหตุทันที

“หญิงต่างชาติคนนั้นเธออาละวาดครับคุณฟาดิล วิ่งเตลิดออกไปทางนั้น พวกเราจะตามแต่ฝ่าบาททรงห้าม”

ฟาดิลตวัดมองไปยังทิศทางที่นายทหารองครักษ์ส่วนพระองค์บอก ด้านนั้นเป็นผืนทราย มีสันทรายรายเรียงซ้อนกัน มองเป็นลอนคลื่น มองไม่เห็นผู้เป็นเจ้าเหนือชีวิต แต่เขาคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

ทะเลทรายแถบนี้เป็นพื้นที่คุ้นชิน หลับตาเดินองค์ชีคเบนจามินก็ไม่มีวันหลงทางไปได้และอย่าได้คิดว่าจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถกล้ำกรายเข้ามาได้ เพราะห่างจากนี้ออกไปสิบกิโลเมตรเขาได้สั่งทหารคอยดูแลตรวจตราทุกตารางนิ้ว นับแต่การเข้าปะทะกับกลุ่มกองโจรไม่ทราบฝ่ายพวกนั้น

“เราควรตามไปดีไหมครับ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป