บทที่ 6 6

เสียงนั้นดุดันไม่พอแต่เขายังแสดงความหยาบร้ายด้วยการดึงมือหญิงสาวให้เธอลงจากรถและเดินตามเข้าไปในตึกสูงหกสิบชั้น ลิฟท์ความเร็วสูงพาชายหนุ่มและหญิงสาวขึ้นไปถึงชั้นที่หกสิบซึ่งเมื่อประตูลิฟท์เปิดออกลลิลจึงเห็นว่าที่นั่นเป็นชั้นดาดฟ้าเปิดโล่งแต่มีสระว่ายน้ำและเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน พัลเลเดียมปล่อยมือหญิงสาวและก้าวฉับ ๆ ไปหยุดที่ริมสระขณะล้วงมือในกระเป๋ากางเกงทั้งสอง ท่าทีของเขายังสง่างามและลลิลรู้ว่าปกติเขาเป็นคนไม่พูดมาก ร่างสูงใหญ่เหลียวมองไปรอบ ๆ ก่อนหันกลับมายังหญิงสาวที่ยืนมองสถานที่แห่งใหม่ซึ่งจะเป็นที่อยู่ของเธอนับจากนี้ไปอีกนานเท่าใดมิรู้ได้ ขณะนั้นเองเขาก็สืบเท้าเข้ามาหยุดตรงหน้าร่างเล็กที่ช้อนตามองเขาด้วยแววหวั่นหวาด

“เพนท์เฮ้าส์ของแพตมีสี่ชั้น และนี่คือชั้นบนสุด ห้องนอนของเธออยู่ชั้นล่างถัดจากดาดฟ้านี่”

“ค่ะ”

“ที่นี่มีจูลี่ เป็นแม่บ้านที่คอยดูแลเพียงคนเดียวทั้งสี่ชั้น ถ้าแพตไม่เป็นอะไรไปเสียก่อนก็คงอีกนานกว่าจะได้กลับมาอยู่ที่นี่อีก”

“อาพีทคะ...ลิลอยากไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลค่ะ”

“เธอไม่มีสิทธิ์ไปไหนทั้งนั้นถ้าฉันไม่อนุญาต!”

เขากล่าวดุดันพร้อมทั้งจับไหล่บางและดึงร่างน้อยเข้าหา ลลิลห่อตัวเหมือนลูกนกสั่นเทา เธอทั้งเหน็บหนาวและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกของสาววัยสิบแปดยามได้อยู่ชิดใกล้ชายในฝันแม้เขาอายุห่างกับเธอนับสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอแนบชิดกับตัวเขา อกกว้างนั้นอุ่นนักแม้ว่าพัลเลเดียมจะแสดงออกว่าเกลียดชังเธอมากขนาดไหนแต่ทุกคราที่อยู่ใกล้ก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะทุกครั้ง ชายหนุ่มหยัดยิ้มเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการสั่นของร่างเล็ก เขาก้มหน้าลงไปใกล้ หัวใจของเขาตอนนี้ราวถูกเพลิงร้อนของความพยาบาทผลาญ หากทว่าเสี้ยวหนึ่งของสำนึกคือความรำลึกที่ฝังแน่น มันผุดพรายขึ้นมาจากใต้บึ้งก่อนที่เขาจะกดมันลงไปจนลึกและไม่ปรารถนาหยั่งได้ถึง พัลเลเดียมเตือนตัวเองอีกครั้งว่าอิศราทำอะไรกับพี่สาวของเขาบ้างก่อนเขาปล่อยให้เธอเป็นอิสระ

“เธอเป็นเมียของฉันแล้วนี่นะ แต่จะบอกให้ว่าฉันไม่ได้อยากแตะต้องตัวเธอนักหรอก หึ! ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้เธอเคยเสียตัวให้ผู้ชายคนไหนไปแล้วบ้าง”

“ผู้ชายคนไหน...”

ลลิลทวนคำพูดเสียดแทงนั้นขณะเงยหน้าจ้องเขาด้วยแววตาเจ็บปวด หญิงสาวเม้มปากแน่น

“ทำไมอาพีทคิดแบบนั้นล่ะคะ”

เขายักไหล่และส่งเสียงในลำคอทั้งเลิกคิ้วเหยียดปากอย่างหยามหยัน

“หึ!...ผู้หญิงเดี๋ยวนี้รักษาพรหมจรรย์ของตัวเองไว้ได้ถึงอายุสิบแปดก็วิเศษแล้ว ลาริมาร์...อย่างเธอนี่ ไอ้เยื่อใยอย่างว่ามันอาจจะฉีกขาดไปแล้วตั้งแต่ตอนเธอยังไม่สิบห้าเลยกระมัง”

เผียะ!!

เสียงฝ่ามือบางตวัดลงบนใบหน้าคร้ามคมเต็มแรงทว่าคนที่ตระหนกกลับเป็นเจ้าของมือเรียวเล็กที่ไม่อาจสร้างแรงกระเทือนใด ๆ ต่อใบหน้าหล่อเหลานั้นได้เลยสักนิด พัลเลเดียมดูราวไม่สะทกสะท้านแต่ดวงตาสีน้ำตาลอมเทาขุ่นคลั่กขึ้นมาในบัดดล ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มเบา ๆ และขบกรามดังกรอด

“ลาริมาร์...เธอกล้าตบฉันงั้นหรือ เธอคิดว่าเธอทำอะไรลงไป!”

“เมื่อก่อนลิลคิดว่าอาพีทเป็นผู้ชายที่น่านับถือและให้เกียรติผู้หญิง แต่ตอนนี้อาพีทไม่ได้เป็นอย่างที่ลิลคิดเลย”

“ฉันให้เกียรติผู้หญิงเสมอ แต่คงไม่จำเป็นต้องให้เกียรติลูกของผู้ชายชั่ว ๆ อย่างพ่อเธอ สายเลือดมันก็คือสายเลือดถ้ามันจะชั่วมันก็ชั่วทั้งโคตร!”

“อาพีท!”

ลลิลกรีดร้องและกำหมัดทุบถองลงบนหน้าอกของชายหนุ่ม พัลเลเดียมโกรธจัดกับการตอบโต้ของหญิงสาว เขาคว้าข้อมือทั้งสองของเธอไว้แล้วรวบมันกับอกก่อนกระหวัดแขนแกร่งรวบตัวเธอเข้ามาปะทะอกกว้างแล้วก้มหน้าลงไปหาใบหน้าสวยหวานที่เปื้อนเปรอะด้วยหยาดน้ำตา ร่างเล็กนิ่วหน้าเบิกตาค้างเมื่อถูกรุกรานจากความกักขฬะของชายหนุ่มที่บดขยี้ริมฝีปากของเขาบนกลีบปากนุ่มอย่างไม่ปราณี

“อื๊อ!...อื๊อ!”

เสียงดังในลำคอไม่อาจหยุดความดิบห่ามของพัลเลเดียมได้แม้แต่น้อย และยิ่งขัดขืนเขาก็ยิ่งรัดรึงตัวเธอไว้ในอ้อมกอดที่หญิงสาวเคยปรารถนาหากทว่าบัดนี้มันเหมือนโซ่เหล็กแข็งกระด้างพันธนาการเธอไว้จนแทบหายใจไม่ออก เขาบดเบียดริมฝีปากหยักหนาบนปากนุ่มที่ปิดสนิท ร่างสูงใหญ่พยายามดันลิ้นเข้าไปในกลีบปากที่ต่อต้านเขาด้วยการไม่ยอมเปิดปากง่าย ๆ ยิ่งเธอดื้อรั้นเขาก็ยิ่งบีบรัดวงแขนแกร่งราวคีมเหล็กบีบคั้นร่างเล็กมากขึ้นทุกที

“อาพีท!”

ลลิลร้องออกมาและทำให้พัลเลเดียมเริ่มตั้งสติได้ เขาเลื่อนใบหน้าออกและเห็นว่าปากจิ้มลิ้มที่ไม่ยอมเปิดให้เขาจ้วงลิ้นเข้าไปเป็นรอยบวมช้ำทั้งสีหน้าของเธอก็ตกใจเหมือนทั้งชีวิตไม่เคยพานพบกับการ จูบ เช่นนี้ ความรู้สึกของชายหนุ่มดิ่งลงต่ำอีกครั้งเมื่อเห็นน้ำตาหยดลงบนแก้มของหญิงสาว เขารีบคุมสติทั้งที่พยายามเตือนตัวเองมาก่อนหน้านี้ว่าอย่าพึ่งแตะต้องเด็กสาวแรกรุ่นที่เขาหยามเหยียดเกลียดชังแต่ก็พลั้งทำไปจนได้

“มารยา!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป