บทที่ 5 5

“นี่หรือคะ....อนาคิน ลูกชายของคุณอนันต์ โอ....ช่างสง่างาม หล่อเหลาซะจริงๆ เห็นคุณอนันต์บอกว่าเรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกับลินยินดีนะคะที่ได้รู้จัก”

อนาคินหย่อนกายลงนั่งข้างมุจลินทร์ด้วยท่าทีมิได้ยินดียินร้ายใดๆ ทำเอาณัฐญาณีหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย

“กินอะไรมารึยัง....กินก่อนสิ พ่อสั่งของที่แกชอบมาทั้งนั้นเลย”

ชายหนุ่มเหลือบแลสำรับบนโต๊ะหากใบหน้านั้นก็ยังเรียบเฉยเช่นเดิม

“ผมไม่หิว....แล้วผมก็ไม่ชอบอาหารแบบนี้แล้ว.......มันเลี่ยน”

อนาคินกล่าวด้วยน้ำเสียงหน่วงหนักขณะนัยน์ตาดำคู่นั้นจ้องไปยังใบหน้าของหญิงวัยสี่สิบที่นั่งข้างบิดา กิริยาอาการของเขาทำให้มุจลินทร์นั่งนิ่งด้วยรู้สึกถึงความฝืดเฝื่อนในบรรยากาศการสนทนาที่ดูไม่ใคร่เป็นกันเองเหมือนเมื่อครู่ หญิงสาวรู้สึกอึดอัดทั้งต่อสายตาและคำพูดของผู้มาใหม่

อนาคิน บริภัทรภูมินทร์

เธอเคยรู้จักเขาในฐานะนักกีฬาว่ายน้ำตัวเต็งของมหาวิทยาลัยที่หนูนาเพื่อนสนิทของเธอปลาบปลื้มหนักหนา เป็นบุตรชายคนเดียวของ อนันต์ บริภัทรภูมินทร์ ผู้ที่กำลังจะมาทำหน้าที่ พ่อ คนใหม่ของเธอ และในอนาคตอันใกล้ผู้ชายที่แสนเย็นชาคนนี้ก็จะต้องมีความสัมพันธ์กับเธอในฐานะ พี่ชาย อาจเป็นเรื่องน่ายินดีที่เธอกับมารดาจะมีคนที่คอยปกป้องดูแล หากแต่ผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้อาจไม่ใช่ อนาคิน ผู้ซึ่งเธอมิอาจล่วงรู้ความนัยได้เลยว่าเขาพร้อมรับแม่และน้องสาวคนใหม่ได้หรือไม่

“คินลูกพ่อ....ที่พ่อนัดแกมาวันนี้ก็อยากให้ทำความรู้จักกับคุณณัฐและลูกสาวของเธอ เพราะต่อไปเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน พ่อก็จะมีคุณณัฐเป็นภรรยา และแกก็จะได้มีมุจลินทร์เป็นน้องสาว เราจะได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์ไงล่ะลูก”

“ครอบครัวที่สมบูรณ์สำหรับผม.....มันไม่มีอีกแล้วครับพ่อ และผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบสำหรับผมมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้หญิงบางคนพยายามทำตัวเองให้เพียบพร้อมดูดี แต่พ่อจะรู้ได้ยังไง....ว่าเนื้อในจะไม่ฟอนเฟะเหมือนอย่างที่ตาเห็น”

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันแม้กระทั่งอนันต์ที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่บุตรชายคนเดียวเริ่มแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อสตรีที่เขาหวังจะให้อนาคินยอมรับในฐานะ แม่คนใหม่ ด้วยความเต็มใจ

“อืม....ฉันว่าเราทานอะไรกันก่อนดีไหมคะ สั่งอาหารมานานแล้ว เดี๋ยวจะชืดหมด”

ณัฐญาณีพยายามพูดเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศในขณะที่มุจลินทร์ชำเลืองดูผู้ที่นั่งเคียงข้างยามนี้ เธอมองเห็นเสี้ยวหน้าอันคมคายนั้น ผิวสีมะกอกบนร่างสูงใหญ่สะท้อนออกมาภายใต้แสงไฟอันนุ่มนวล หากแต่ดวงตาคู่นั้นกลับขุ่นข้นบนสีหน้าที่เหมือนกำลังมีบางอย่างคุกรุ่นอยู่ภายใน

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมจะกลับนะครับพ่อ ผมแค่อยากรู้....ว่าคุณพ่อ...มีอะไรให้ผมดู”

แววตาหยันเหยียดของชายหนุ่มทำให้ผู้เป็นบิดานั่งไม่ติด คราวนี้ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่นพร้อมทั้งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

“มันจะมากไปแล้วอนาคิน!!......ถ้าแกไม่ให้เกียรติฉันแกต้องให้เกียรติคุณณัฐกับลูกสาวของเขาในฐานะสุภาพบุรุษที่ให้เกียรติสุภาพสตรี”

รอยเย้ยเยาะเหยียดที่มุมปากของอนาคิน ชายหนุ่มแค่นหัวเราะและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังหนาวเยือกเข้าไปถึงหัวใจ

“สุภาพสตรีที่พยายามจับผู้ชายรวยๆ เพื่อช่วยให้ตัวเองพ้นวิกฤตเราควรจะมองว่าเขามีเกียรติเช่นนั้นหรือครับ คุณพ่อจะคบกับใครเป็นตัวเป็นตนก็น่าจะศึกษาภูมิหลังเขาให้ดีสักหน่อย บางทีอาจไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง”

“อนาคิน!!.....”

“ผมขอตัวครับคุณพ่อ ขอให้ทานอาหารมื้อนี้อย่างมีความสุข”

สิ้นคำชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินหันหลังไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองว่าผู้ที่นั่งอยู่ก่อนมีอากัปกิริยาเช่นไร

“อนาคิน!!.....”

“อย่าค่ะ....คุณอนันต์”

ณัฐญาณีรีบดึงแขนอนันต์ที่ทำท่าจะลุกตามบุตรชายหัวรั้นด้วยอาการฉุนขาดก่อนจะเอ่ยกับชายวัยกลางคนเพื่อเป็นการให้กำลังใจ

“คุณอนันต์คะ....อนาคินเขายังเด็กนะคะ เขาอาจจะยังไม่เข้าใจเพราะเขาไม่เคยรู้จักณัฐกับลูกของณัฐ และมันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับเขาที่อยู่ๆ จะมีใครก็ไม่รู้มาเป็นครอบครัวใหม่ของเขาแบบนี้”

“ไอ้ลูกคนนี้มันดื้อมาแต่ไหนแต่ไร เวลาโกรธมันไม่เคยโหวกเหวกโวยวายก็จริง แต่ก็ทำให้ผมต้องเจ็บถึงขั้วหัวใจทุกครั้ง เมื่อไหร่มันจะทิ้งนิสัยแบบนี้เสียได้ มันคิดว่ามันเป็นศูนย์รวมของจักรวาลรึไง”

“ณัฐว่าคุณอนันต์ค่อยๆ คุยกับอนาคินจะดีกว่านะคะ ถ้าจะยังโกรธกันแบบนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ณัฐไม่โกรธเขาหรอกค่ะ มันเป็นความจริงว่าคงไม่มีใครยอมรับคนแปลกหน้าได้ง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่รู้จักกันดีพอ”

อนันต์ถอนใจก่อนใช้มือหนากอบกุมมือเรียวบางของณัฐญาณีเอาไว้และดูเหมือนอารมณ์พลุ่งพล่านที่พุ่งเกือบถึงจุดเดือดเมื่อครู่ค่อยคลายลงด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานของผู้ที่นั่งเคียงข้าง

“คุณณัฐ....ผมขอโทษ” ว่าพลางหันมาทางมุจลินทร์ที่ดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องมองไปยังทางออกของภัตตาคาร

“หนูลิน....ลุงขอโทษด้วยนะที่ลูกชายของลุงแสดงกิริยาไม่ดีเมื่อครู่ แม่เขาเสียไปตั้งแต่เขาสิบขวบ เขาอาจเป็นคนกระด้างไปหน่อย ลุงกำลังพยายามหาทางปรับเปลี่ยนนิสัยของเขาอยู่”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป