บทที่ 6 6
หญิงสาวเหมือนนึกอะไรได้รีบหันกลับมาและยิ้มให้ผู้ที่นั่งอยู่ข้างมารดา เธอจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ในเมื่อบุรุษที่อยู่ตรงหน้ากับมารดาของเธอต่างเต็มใจเลือกเป็นผู้ดูแลชีวิตในบั้นปลายซึ่งกันและกัน มีสิ่งที่มุจลินทร์คาดไม่ถึงในหลายเรื่องราว หนึ่งเรื่องคือผู้ชายที่กำลังจะมาทำหน้าที่พ่อคนใหม่ของเธอเป็นคนมีเงินที่อัธยาศัยดีทั้งยังแสดงออกว่ารักและให้เกียรติมารดาของเธอยิ่ง หากทว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าในชีวิตกำลังมีดาวดวงใหม่หลุดเข้ามาในวงโคจร ดาวดวงนั้นเปล่งรัศมีเจิดจ้าจนเธอมิอาจรู้ได้เลยว่ามันเป็นดวงดาวที่ฉายแสงให้ความอบอุ่นหรือเป็นดวงดาวที่กำลังใกล้ระเบิดกันแน่ เธอยังคงเห็นภาพ อนาคิน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าเย็นเยียบยามที่ยืนอย่างสง่างามริมสระว่ายน้ำในฐานะของนักกีฬาตัวเต็งของสถาบัน มุจลินทร์ไม่เคยจดจำภาพของใครไว้แนบแน่นในความทรงจำมากมายเช่นนี้ ดวงตายาวรีและผิวสีมะกอกขับเน้นเงาสะท้อนของชายในภาพฝันชัดเจนยิ่งนัก หากในความเป็นจริง แววตาคู่นั้นที่เธอยังคงรำลึกถึงกลับพรายพร่าอยู่เบื้องหลังเลือดเนื้อของบุรุษแสนหยิ่งทะนง ดื้อรั้นและถือดี....เขาไม่ยอมรับมารดาของเธอ หรือแม้แต่คนที่จะต้องอยู่ในฐานะน้องสาวอย่างเธอด้วย หญิงสาวได้แต่เก็บความเคลือบแคลงในวาจาที่ปรามาสมารดาของเธอนั้นไว้ เธอต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเหตุใดอนาคิน ชายหนุ่มแสนทรนงผู้นั้นจึงตั้งแง่และพยายามพูดเพื่อแสดงนัยบางอย่างราวกับจะบอกอะไรให้บิดาของเขาได้รับรู้
2
แรกชิดใกล้
“ว่าไงลิน!......เธอไปพบพ่อใหม่รึยัง”
หนูนาปรี่เข้ามานั่งกับมุจลินทร์ที่กำลังก้มหน้าเขียนรายงานบนโต๊ะแล็คเชอร์ภายในห้องเรียนทันทีที่มาถึงในตอนเช้า หญิงสาวเงยหน้ามองเพื่อนแล้ววางปากกาในมือลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เขาก็ดี....เขาดีกับคุณแม่ ดีกับลินมาก”
“แล้วเขาเป็นใครกัน...ภูมิหลังเขาเป็นยังไงเชื่อถือได้มั้ย ไม่ใช่บอกว่าดีแล้วเป็นผีทีหลังนะเพื่อน”
“เขาเป็น.....พ่อของรุ่นพี่อนาคิน”
“ห๊า!!!” สาวร่างอวบทำตาโตเหมือนสิ่งที่ได้รับฟังนั้นอัศจรรย์เป็นล้นพ้น
“คุณอนันต์ บริภัทรภูมินทร์ เจ้าของบริษัทส่งออกยักษ์ใหญ่ที่หนูนาบอกลินไง”
“โอ้โฮ!....ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ เพื่อนฉัน....นั่นน่ะไม่ธรรมดาเลยนะจ๊ะ น่ายินดีแทนแม่ของลินที่ได้ผู้ชายดีๆ มาดูแล ลินเองก็เหมือนกันนะ น่าทึ่งจริงๆ ที่จะได้มีพี่ชายเป็นนักกีฬาว่ายน้ำหล่อล่ำที่สาวๆ ครึ่งมหาลัยคลั่งไคล้”
มุจลินทร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วหยิบปากกาจรดลงบนหน้ากระดาษต่อ
“อ้าว!....ไหงทำหน้างั้นล่ะ....ลินไม่ดีใจรึไงที่จะได้มีครอบครัวสมบูรณ์แบบกับเขาซะที”หนูนาทำหน้าไม่เข้าใจขณะที่เพื่อนสาววางปากกาลงอีกครั้งและคราวนี้ถอนใจหนักกว่าเดิม
“ไม่รู้สิ.....หนูนา..... ลินก็ดีใจอยู่หรอกนะที่คุณแม่ได้พบคนที่ดีและรักคุณแม่อีกครั้ง ถ้าคุณแม่มีความสุขโดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องความสมบูรณ์แบบของครอบครัวลินก็จะไม่กังวลใจเลย บางที เราอาจต้องสูญเสียอะไรบางอย่างเพื่อแลกกับความสมบูรณ์ที่ว่านั่นก็ได้”
“ลินนี่พูดแปลกๆ ตอนแรกหนูนาคิดว่าลินจะมีพ่อเลี้ยงเป็นคนแบบไหน แต่พอรู้แบบนี้หนูนาก็ดีใจด้วย....ลินอย่าคิดมากสิจ๊ะ ในโลกนี้ถ้ามีความสมบูรณ์แบบทุกอย่าง อะไรก็ไม่น่าตื่นเต้น ถ้าลินคิดว่ามันยังไม่สมบูรณ์พร้อมลินก็คอยตั้งรับประสบการณ์ใหม่ในการมีครอบครัวใหม่สิจ๊ะ หนูนาจะคอยเป็นกำลังใจ”
มุจลินทร์ยิ้มแห้งแล้ง เธอมิอาจบอกเล่าความเป็นไปให้เพื่อนสนิทฟังได้ว่าผู้ชายที่หนูนาลงความเห็นว่าเป็นที่ชื่นชมของสาวๆ ค่อนมหาลัย เนื้อแท้เป็นคนหยิ่งทะนงและกำลังตั้งข้อรังเกียจผู้ที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเขาอีกไม่นานนี้ หญิงสาวปรายตาออกไปทางหน้าต่างห้อง หลังทิวไม้ข้างนอกนั่นแลเห็นตึกสีขาวขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านโผล่พ้นยอดไม้และป้ายคณะวิศวกรรมศาสตร์โดดเด่นอยู่ส่วนหน้าตัวอาคารด้านบน ความคิดหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในสมองของเธอ หญิงสาวจะไม่รอให้อนาคินมาใช้คำพูดหมิ่นแคลนเธอและมารดาเป็นหนที่สอง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องแสดงออกซึ่งความมีศักดิ์ศรีของเธอบ้างถ้าหากชายผู้หยิ่งผยองคนนั้นรู้จักที่จะฟังเสียงของคนอื่น
สีอันนุ่มนวลลานตาของแสงสว่างยามเย็นตกกระทบลงบนปลายไม้และยอดหญ้ารอบๆ บริเวณตึกสี่ชั้นที่ด้านล่างยังคงมีนักศึกษาเดินเข้าออกหากแต่บางตากว่าช่วงกลางวัน ร่างบอบบางในชุดนักศึกษาก้าวมาหยุดตรงบันไดทางขึ้นตึกเสมือนยังตกผลึกความคิดในขั้นตอนสุดท้าย เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวเคลียไหล่พลิ้วไหวน้อยๆ ยามต้องสายลมอ่อน มุจลินทร์กระชับกระเป๋าสะพายไว้ข้างกายแน่น เธอตริตรองอย่างดีแล้วก่อนมาถึงที่นี่ว่าเธอต้องพูดบางสิ่งบางอย่างกับผู้ชายที่แสนทะนงตนอย่างอนาคิน หญิงสาวแน่ใจว่าเขายังไม่กลับเพราะรถมินิเปิดประทุนสีขาวอมสีเงินเมทัลลิกที่เธอเห็นเขาขับวันก่อนยังจอดยู่ห่างจากตัวอาคารไปไม่ไกล ร่างบางทำท่าจะก้าวขึ้นบันไดพลันก็เหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ของผู้ที่เธอต้องการจะพบเดินมุ่งไปทางหลังอาคาร....เพียงคนเดียว มุจลินทร์รีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว เธอเดินตามไปจนพ้นมุมตึกซึ่งลับตาจากด้านหน้าของอาคารหากก็พบเพียงทางเดินว่างเปล่าที่ทอดยาวไปจนสุดตัวอาคาร ข้างๆ ทางเดินก็มีเพียงพุ่มไม้ขึ้นรกเรื้อและม้านั่งสองสามตัวที่ร้างไร้แม้เงาของใครสักคน
