บทที่ 3 คนป่วย
ในขณะที่เฉินเจียวเหมยกำลังนั่งจมปลักอยู่กับตนเองด้วยใบหน้าแดงก่ำดวงตาบวมปูดน้ำตาเปื้อนเปรอะอยู่นั้น
เสียงเปิดประตูหน้าโรงหมอของนางพลันดังขึ้นมา ก่อนจะปรากฏร่างสูงโปร่งงามสง่าของบุรุษผู้หนึ่งเดินอาดๆ เข้ามาอย่างถือวิสาสะ
เจ้าของเรือนร่างงามสง่าผู้นั้นคือจ้าวจิ่นหลงนั่นเอง
เขาสอบถามเอากับหลงจู๊แล้วว่า สตรีนางใดกันที่บังอาจเข้ามาอยู่ในห้องพักของเขาเมื่อคืน หลงจู๊ผู้นั้นบอกกล่าวแก่เขาว่านางเป็นถึงหมอหญิงประจำหมู่บ้าน ซึ่งก็คือหมอหญิงของโรงหมอแห่งนี้
ฮึ! นางต้องรับผิดชอบ
นางต้องรับผิดชอบตัวเขา มิใช่หนีออกมาอย่างนั้น
มันช่างหยามเกียรติของเขาสิ้นดี
เขายอมไม่ได้
ไม่ได้เด็ดขาด
เสียงประตูที่ถูกเปิดออกอย่างกะทันหันพร้อมด้วยร่างปราดเปรียวของบุรุษผู้หนึ่งเดินอาดๆ เข้ามานั้น ทำเอาเฉินเจียวเหมยถึงกับสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบคลานเข้าใต้โต๊ะที่อยู่ไม่ไกลด้วยสัญชาตญาณของนางในยามนี้
ยามที่โลกทั้งโลกคล้ายกับไม่มีที่ให้นางได้ยืนอีกต่อไป
หญิงสาวเพียงนั่งคุดคู้อยู่ใต้โต๊ะอย่างระแวงพร้อมๆ กับรีบไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นทั้งหมดของเมื่อคืนที่ผ่านมา
ภายในห้วงแห่งความคิดของนางนั้น ภาพของนางกับบุรุษผู้หนึ่งนั้น ใบหน้าของเขานั้น เป็นอย่างไร
อา...ขอแอบมองก่อน
คิดได้แล้วก็โผล่หัวออกมาจากใต้โต๊ะเพียงนิดเพื่อมองไปยังใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา
ใช่จริงๆ
เป็นเขาจริงๆ
อา...
ดวงตาคมกริบเรียวยาว ดั้งจมูกเป็นสันตั้งตรง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ริมฝีปากได้รูปสีแดงสด
อืม...ริมฝีปากอย่างนี้ล่ะที่ละเลียดชิมนางทั้งคืน เอ๊ะ...ไยอยู่ใกล้กันเยี่ยงนี้ ทำไมใบหน้าของเขาถึงเห็นได้ชัดเจนถนัดถนี่ยิ่งนัก
จ้าวจิ่นหลงที่เห็นสตรีนางหนึ่งรีบมุดเข้าใต้โต๊ะในทันทีเมื่อหันหน้ามาเห็นเขา เขาจึงไม่รอช้ารีบเดินเข้ามาแล้วมุดใต้โต๊ะตัวเดียวกันกับนางในทันที
เขาเห็นดวงตาสดใสของนางถึงแม้ว่าจะกำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยม่านน้ำตา
เขาเห็นริมฝีปากของนาง
ริมฝีปากนี้ล่ะที่เขาจูบนางเมื่อคืน ทั้งคืน...
ชายหนุ่มหญิงสาวเพียงจ้องมองใบหน้าของกันและกันนิ่งงันอยู่ภายใต้โต๊ะตัวเดียวกันนั้นอยู่อึดใจ
เฉินเจียวเหมยกะพริบตาปริบๆ เพียงสองทีก่อนจะมีสติขึ้นมาในฉับพลันรีบออกจากใต้โต๊ะตัวเดียวกันอย่างฉับไว
จ้าวจิ่นหลงไม่รอช้า รีบตามออกมาในทันที
“ท่านเป็นใคร” หญิงสาวถามขึ้นอย่างตระหนกตกใจ
เสียงนี้ล่ะ ใช่เลย จ้าวจิ่นหลงพลันคิดแล้วรีบเอ่ย “ข้าคือ”
“หยุด!” เสียงห้ามปรามพลันดัง “หยุดเลย”
เฉินเจียวเหมยไม่ปล่อยให้เขาได้เอ่ยสิ่งใด ด้วยเพราะแน่ใจว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใด
“ท่านกำลังป่วยใช่หรือไม่ นำยาไปแล้วกินเสีย” จบคำก็รีบหมุนตัวไปหยิบยาที่อยู่ใกล้มือแล้วส่งให้บุรุษตรงหน้าก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีไปอย่างไว
จ้าวจิ่นหลงถึงกับยืนอึ้งไป
ฮึ่ม! นาง...นาง...
น่าตายนัก!
ภายในห้องพักห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยมแห่งเดิม ร่างงามสง่าของจ้าวจิ่นหลงยังคงนั่งสงบเรียบนิ่งอยู่ในนั้น เขาเพียงนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น เมื่อได้รับฟังความจากลูกน้องของเขาที่ได้ไปสืบทราบมาให้ได้ยิน
ข่าวที่ได้รับฟังคำการรายงานจากลูกน้องของเขานั้น เป็นข่าวคราวประวัติความเป็นมาของสตรีนางหนึ่ง
นางผู้ซึ่ง...
ได้ตัวเขาแล้ว...
กลับไม่รับผิดชอบ!
“นางเป็นอดีตองค์หญิงของแคว้นเฉินแห่งนี้นามว่าเฉินเจียวเหมยพะย่ะค่ะองค์ชาย นางสร้างเรื่องจนถูกถอดยศสืบเนื่องมาจากไม่ยินยอมที่จะเป็นองค์หญิงบรรณาการพะย่ะค่ะ”
คำกล่าวรายงานยาวเหยียดของสายสืบประจำตัวแห่งจ้าวจิ่นหลงทำเอาจ้าวจิ่นหลงถึงกับเลิกคิ้วคมเข้มขึ้นอย่างฉงน
สายสืบยังคงเอ่ยคำอย่างต่อเนื่องไม่มีตกหล่น “ในปีนั้นเป็นปีที่นางจะต้องเดินทางไปเป็นองค์หญิงบรรณาการให้แก่องค์ชายนะ พะย่ะค่ะ”
“หืม...” จ้าวจิ่นหลงถึงกับส่งเสียงในลำคอเบาๆ ก่อนเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“องค์หญิงบรรณาการแห่งข้าเช่นนั้นหรือ”
“พะย่ะค่ะ” สายสืบก้มหัวรับคำอย่างมั่นอกมั่นใจ
จ้าวจิ่นหลงเริ่มหรี่ตาลงเพื่อคบคิดแลวิเคราะห์
ในปีนั้นเขาที่เป็นองค์ชายแคว้นจ้าวจะต้องเดินทางมาเชื่อมสัมพันธ์กับองค์หญิงบรรณาการของแคว้นเฉินเพื่อให้สัญญาสงบศึกเป็นที่สมบูรณ์ แต่ทว่า...เมื่อมาถึงแคว้นเฉินแล้ว กลับกลายเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่ต่างพากันมารอต้อนรับเขา แทนที่จะเป็นองค์หญิง
ในปีนั้นฮ่องเต้แคว้นเฉินทรงให้เหตุผลว่าองค์หญิงที่มียังทรงอ่อนเยาว์เกินไป พวกนางยังคงอยู่ในวัยเพียงไม่เกินห้าหนาวเท่านั้น และต่อมาอัครเสนาบดีหลิวจึงได้นำตัวบุตรสาวของเขานามว่าหลิวหลีมาแนะนำตัวให้แก่เขา และนางก็ได้ทำการอุกอาจคุกเข่าขอร้องบิดาของนางต่อหน้าเขาว่าต้องการเพียงนายทหารคนหนึ่งคนเดียวเท่านั้น นายทหารท่านนั้นนามว่าจูหยวนจาง เขาเองก็รู้จัก แน่นอนว่าจูหยวนจางก็รู้จักเขา
นั่นจึงทำให้เขาลงสัญญานามสงบศึกมือเปล่าโดยไม่ได้สตรีบรรณาการกลับไป
