บทที่ 6 ทางหนีทีไล่ 2
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงตั้งใจเอาหน้าผากของตนกระแทกเบาๆ ไปที่กำแพงอีกสองทีเพื่อให้เกิดริ้วรอยสีแดงบนหน้าผากของนางเพิ่มเติมอีกหน่อย
ประเดี๋ยวค่อยไปทายาตามด้วยประคบก็หายดีแล้ว หญิงสาวคิดแผนการสำรองสำหรับรอยแดงอันนี้เอาไว้อยู่ภายในใจ
เวลาต่อมา...
เฉินเจียวเหมยแอบเดินเข้ามาทางด้านหลังของโรงหมออย่างระแวดระวัง เพราะเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการวิ่งหนีวกไปวนมาภายในหมู่บ้านอยู่หลายรอบ
หากนางเจอเขานางจะทำเป็นเสียสติจำเขาไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่อง คอยดู หึ!
หญิงสาวคิดอย่างนั้นพลางเดินเข้ามายังซอกหลืบตรงทางเดินเล็กแคบหลังโรงหมอของตนด้วยท่าทางมุ่งมั่นหมายมาด
และแล้วนางกลับต้องชะงักเพราะบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนกอดอกด้วยมาดของผู้สูงศักดิ์ดวงตาคมกริบจ้องมองนางอยู่
ยืนรอเลยรึ!? เฉินเจียวเหมยถึงกับหรี่ตามอง
จ้าวจิ่นหลงที่คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสตรีนางนี้จะต้องวิ่งหนีเขาจนเหน็ดเหนื่อยแล้วเดินกลับเข้ามายังโรงหมอของนางด้วยตัวของนางเอง
เขาจึงเพียงยืนรอนางอยู่อย่างใจเย็น
เมื่อเขามองเห็นนางกำลังเดินเข้ามาในโรงหมอเขาจึงเพียงแค่จ้องมองนางอยู่นิ่งๆ
เขาจะต้องคุยกับนางให้รู้เรื่องเสียที ฮึ!
“ท่านเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน ข้าเป็นใครกันนี่” เฉินเจียวเหมยเริ่มต้นบทบาทที่คิดเอาไว้พลางยกมือของตนขึ้นกุมศีรษะด้านหนึ่ง คงเหลือเอาไว้อีกด้านหนึ่งเพื่อเผยให้เห็นรอยจ้ำสีแดงบนหน้าผาก “ได้โปรดข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย”
จ้าวจิ่นหลงเพียงหรี่ตามองใครบางคนที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย
เฉินเจียวเหมยที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตนเองไม่ถนัดเรื่องมารยาสักเท่าไหร่จึงได้แต่ทำแข็งใจตีเนียนต่อไปอย่างมึนๆ
“ท่านคงเป็นท่านหมอของที่นี่สินะ ท่านควรไปดูแลคนป่วยบ้านโน้น” ว่าแล้วก็วาดนิ้วพลางผินใบหน้าไปตามทิศทางอันไกลโพ้น
“ได้ข่าวว่าใกล้ตายแล้ว ท่านหมอรีบไปเลย” จบคำก็เดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของบุรุษตรงหน้าแล้วผลักดันเขาให้ออกไปยังทิศทางที่นางวาดนิ้วชี้ไปเมื่อครู่
“ข้าว่าทางนี้มีคนป่วยมากกว่าทางนั้น” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ
“อา...ใช่...ข้าเองก็ป่วย ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ท่านรีบไป” เฉินเจียวเหมยยังคงตีเนียนหน้ามึนพลางฉุดดึงร่างของใครบางคนที่บัดนี้คล้ายกับรากไม้อีกแล้ว
“หากเจ้าจำสิ่งใดไม่ได้ ข้าจะบอกกล่าวให้” จ้าวจิ่นหลงที่ยังคงขืนตัวเองเอาไว้ไม่ยอมขยับเอ่ยขึ้นเนิบนาบอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้า “ข้าเป็นสามีของเจ้า”
“...”
เฉินเจียวเหมยถึงกับนิ่งอึ้งไป
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า”
“...”
เฉินเจียวเหมยถึงกับทำอันใดไม่ถูก
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปแต่งงาน”
ครานี้เฉินเจียวเหมยถึงกับตั้งท่าจะวิ่งหนี
จ้าวจิ่นหลงรู้ทันในท่าทีจึงตวัดวงแขนของตนโอบกอดเฉินเจียวเหมยเอาไว้อย่างแนบแน่น
“ปล่อยข้านะ” หญิงสาวดิ้นรนพลางตะโกนออกมา
“หยุดหนีเสียที” ชายหนุ่มเริ่มคำราม
“ไม่..” เฉินเจียวเหมยยังคงไม่ยินยอม
จ้าวจิ่นหลงยังคงไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน เขายังคงกอดรัดโรมรันเรือนร่างของเฉินเจียวเหมยเอาไว้โดยไม่คิดที่จะปล่อย
ไม่มีทาง!
“อาเหมย” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้นมาตรงทางด้านหน้าของโรงหมอ
“อาหยวน” เฉินเจียวเหมยที่จดจำน้ำเสียงของสหายนามว่าจูหยวนจางได้ นางจึงรีบตะโกนเรียกขานเขาในทันที
จ้าวจิ่นหลงถึงกับนิ่งอึ้งไป
เมื่อเฉินเจียวเหมยรู้สึกได้ถึงอาการนิ่งอึ้งเงียบงันของบุรุษที่กำลังโอบกอดนางอยู่ นางจึงรีบสลัดเขาออกจากวงแขนของเขาแล้ววิ่งไปทางจูหยวนจางในทันที
เมื่อจูหยวนจางเห็นเฉินเจียวเหมยวิ่งออกมาจนปรากฏกายแก่สายตาจึงรีบเอ่ย “ข้าจะเดินทางแล้ว ข้าจึงเข้ามาลาเจ้า”
“อาเหมย ข้าจะเดินทางแล้ว ข้ามาลาเจ้า” น้ำเสียงแว่วหวานของฮูหยินของจูหยวนจางนามว่าหลิวหลีที่เดินเคียงข้างกันมากับจูหยวนจางเอ่ยขึ้นมาทางเฉินเจียวเหมย
“จะเดินทางแล้วหรือ ข้าไปด้วย” จบคำของเฉินเจียวเหมยนางรีบวิ่งออกไปแล้วพุ่งตัวขึ้นรถม้าที่นางแน่ใจว่าเป็นของสหายของนางในทันที
จูหยวนจางและหลิวหลีถึงกับงุนงง
จ้าวจิ่นหลงที่รู้สาเหตุของการพุ่งตัวไปอย่างนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไป
ฮึ่ม! นาง...นาง...
น่าตายนัก!
นางหนีเขาอีกแล้ว...
ตามถนนหนทางทอดยาวสายหนึ่งกำลังมีรถม้าคันขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังเคลื่อนตัวไปตามทางโดยมีบุรุษหนุ่มสองคนกำลังควบม้าให้เดินเคียงข้างไปกับรถม้าเพื่อดูแลคุ้มภัยให้สตรีที่กำลังนั่งอยู่ภายในของรถม้าคันนี้
หนึ่งบุรุษนามว่าจูหยวนจางนั้น เขามีหน้าที่คอยดูแลภรรยาของเขาที่กำลังนั่งอยู่ในรถม้าคันนี้ หน้าที่นี้ย่อมเป็นของเขาหาใช่ของผู้ใดอื่นไม่ มันย่อมเป็นหน้าที่ของเขาแต่เพียงผู้เดียว
แต่... กับบุรุษอีกคนที่ขี่ม้าเคียงกันมา เขามีหน้าที่อันใด ไยต้องมาร่วมทางกับเขา จูหยวนจางยังคงไม่ไว้วางใจใครบางคนที่อาจจะมาเกี้ยวภรรยาของเขาตามวิสัยที่หึงหวงภรรยาคนงามแบบเต็มขั้น
