บทที่ 10 10

“ฉันไม่ได้บ้า เจ้าจงหยุดวาจาสามหาวเดี๋ยวนี้” จุไรพรตะคอกลั่นทั้งๆ ที่ยังไม่ลุกจากบนพื้น แต่คราวนี้วารินทร์ไม่ได้สนใจหญิงบ้าอีกต่อไป เพราะหันไปคุยกับมินชยาแทน

“เอ้า ข้าวต้ม กินให้หมดซะนะ” พูดพลางวางถาดลงบนโต๊ะ ตัวเล็กซึ่งอยู่ตรงข้างหัวเตียง

“ฉันจะกินได้ยังไงในเมื่อโดนมัดมือไว้แบบนี้”

วารินทร์ทำหน้ายู่เหมือนเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา เธอจับช้อนคนๆ ในถ้วยเพื่อให้เนื้อข้าวคลายร้อน ปากก็บ่นกระแทกกระทั้น

“ช่วงนี้คุณเป้เป็นอะไรก็ไม่รู้ นอกจากจะยอมให้คนบ้าอยู่บ้านด้วยแล้ว ยังให้โจรใจร้ายอย่างเธอมาอยู่ที่นี่ด้วย เขาคิดยังไงของเขากันนะ”

“ฉันสาบานได้เลยว่าไม่เคยคิดจะลักพาตัวเด็ก ฉันบังเอิญเจอเด็กร้องขอความช่วยเหลือ ฉันพยายามพาเด็กหนีเลยพลาดพลั้งโดน ทำร้ายจนสลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นจำเลยอย่างงงๆ”

“เหรอ…ดีนี่ เพิ่งฟื้นไข้แต่กลับสร้างเรื่องได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนฉันเกือบหลงเชื่ออยู่แล้วนะว่าคำโกหกของเธอคือความจริง”

“เชื่อฉันเถอะ ที่ฉันพูดไปเป็นความจริงที่สุด”

“เธอคิดว่าฉันจะเชื่องั้นเหรอ” วารินทร์เบ้ปาก “ไม่มีผู้ร้าย คนไหนยอมรับตรงๆว่าตัวเองผิดหรอกนะ”

“แต่ฉัน…” ไม่ทันเอ่ยจบประโยค วารินทร์ก็พูดแทรกเสียก่อน

“กินข้าวซะ อ้าปาก ฉันจะป้อน”

“ไม่ค่ะ” แม้จะหิวจนท้องครวญสนั่น เธอก็ยังทำปั้นปึ่ง เมินหน้าไปอีกทาง เม้มปากแน่น “ถ้าไม่แก้มัดออกให้ฉัน ฉันก็ไม่กิน”

ความอดทนของวารินทร์สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น เธอกระแทกช้อนโครมลงถ้วย แล้วเดินปึงปังออกไปอย่างไม่พอใจ

“ถ้างั้นก็ไม่ต้องกิน เป็นแค่นักโทษยังจะเลือกมากอีก” เธอ ทิ้งท้ายด้วยประโยคเชือดเฉือน ก่อนจะปิดประตูลง…

ความเงียบเริ่มปกคลุมบริเวณห้องอีกครั้ง มินชยากัดปากล่างแน่น น้ำตาที่เก็บกลั้นมาเนิ่นนานค่อยๆไหลลงมาแต่ทว่าไร้เสียงสะอื้น มีเพียงน้ำใสหยดเล็กๆเท่านั้นที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้เธอเจ็บปวดหัวใจเพียงไร

ไม่คิดว่าการทำตัวเป็นพลเมืองดีของเธอจะทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้…ไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ

เสียงกรุ๊งกริ๊งของกำไลกระทบกันดังเข้าหู เมื่อมองไปทาง ต้นเสียงก็เห็นจุไรพรลุกยืน หญิงเพี้ยนที่สวมชุดขาดรุ่งริ่ง แต่ดวงตาเป็นประกายพราว

“ฉันไม่ขอให้ใครมาเห็นใจฉันอีกแล้ว นึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน ถ้าในตอนนั้นฉันทำตัวเป็นคนใจร้ายไม่สนใจเด็กที่กำลังได้รับอันตราย ชีวิตฉันคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้หรอก…” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่ได้เจาะจงว่าพูดกับใคร คล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่า

“น้ำตาของนางโจรมีรึจะน่าเห็นใจ” จู่ๆจุไรพรก็เอื้อนเอ่ย เอียงคอ นิ้วพันเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเล่นไปมา “แต่ถ้าคุณเป้เห็นเจ้าเป็นคนร้าย 100% เขาคงไม่ลังเลที่จะส่งตำรวจ ทำไมต้องเอาเจ้ามาไว้ที่บ้าน ดูแลและเฝ้าไข้อย่างใกล้ชิด”

“เฝ้าไข้ ? ผู้ชายคนนั้นเป็นคนเฝ้าไข้ฉันงั้นหรือคะ” เธอถามอย่างประหลาดใจ

“ช่าย…เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้าน บริษัท และโรงพยาบาล ไหนจะเรื่องงาน เรื่องหลาน เรื่องเจ้า ฉันคิดว่าคุณเป้คงนึกว่าเจ้าเป็นคนร้ายแค่ 80% อีก 20%ที่เหลือคงยังลังเลไม่แน่ใจ เจ้าก็อาศัยอยู่ที่นี่ซะ ถือเสียว่าเป็นลิขิตจากสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องเครียดอะไร พยายามหาหลักฐานเข้าสิว่าเจ้าไม่ผิด ทองแท้ต่อให้โดนไฟก็ย่อมเป็นทองอยู่วัน ยังค่ำละน่า”

ดวงตาของมินชยาปรากฏร่องรอยความสงสัย เหตุใด… หญิงคนนี้จึงพูดจาฉะฉานเหมือนคนที่มีความรู้ สำนวนแม้จะเหมือนยี่เกแต่ก็ดูฉลาดเฉลียว

“คุณเหมือนคนปกติเลยนะคะ”

“อันตัวฉันนั้นหาใช่คนปกติธรรมดาเหมือนเจ้าไม่ แต่คือ หญิงสาวผู้เลอโฉมดั่งสโนไวท์ในโลกนิทาน” จุไรพรกางมือออก หลับตาพริ้ม แล้วเปล่งเสียงอีก “ฉันมั่นใจในความสวยและความดีของฉัน เอิงเอย…”

มินชยาส่ายหน้า ไม่ไหวหรอก…แบบนี้เป็นโรคประสาทชัวร์ๆอยู่แล้ว คนอะไรเดี๋ยวดีเดี๋ยวบ้า

บทก่อนหน้า
บทถัดไป