บทที่ 4 บทที่ 2 รับสินค้า 50%
บทที่ 2 รับสินค้า
“ฉันถึงเมืองไทยแล้ว พวกนายที่เหลือรีบตามมาก็แล้วกัน” น้ำเสียงดุดันกึ่งตะคอกดังลอดผ่านสายโทรศัพท์เรียกความสนใจของชายผู้เอ่ยคำพูดไม่ชวนพิสมัย ทว่าเมื่อสบสานสายตาเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายก็แทบจะพับเก็บความคิดอื่นๆ ทิ้งไป
เมื่อเขาคือ ‘อัลเฟรโด้ เอสเต’ บุรุษหนุ่มวัย 36 ปี ผู้กุมบังเหียน ES industry ที่ใครๆ ต่างขนานนามว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของยุโรป ร่ำรวย และมีอิทธิพลจนไม่มีใครกล้าต่อกร นอกจากอำนาจเงิน บารมีที่เพียรสร้างแล้ว รูปร่าง หน้าตา ที่ได้รับฉายาว่า เทพบุตรซาตาน ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เขาน่าสนใจ
ร่างสูงสง่าสมชายชาตรีที่เต็มไปด้วยหมัดกล้ามเนื้อ ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มเชื้อชาติยุโรปดูคมเข้มจากหนวดเคราที่ได้รับการดูแลอย่างดีทว่าซุกซ่อนความเซ็กซี่เอาไว้ ดวงตาคู่คมดุดันสีฟ้าสดใสเต็มไปด้วยเสน่ห์ ทุกอย่างบนร่างกายที่มีเจ้าของชื่ออัลเฟรโด้จึงเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าดีที่สุด และงดงามที่สุด
“อีกสามวันเจอกันที่เกาะฟ้าคราม”
‘อัลเฟรโด้’ เอ่ยกำชับกับคนปลายสายที่เอาแต่เงียบฟังไม่ยอมเอ่ยถามอะไรสักนิด มันทำให้เขาต้องถอนหายใจทุกครั้งกับการสนทนาที่เหมือนตัวเองจะพูดเพียงฝ่ายเดียว
“นายได้ยินที่ฉันพูดไหม ไรเซน (Raizen****)”
(“อืม”) เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาแค่คำว่า ‘อืม’ เรียกความหงุดหงิดให้คนรอฟังเสียจนแทบจะระเบิด
หากคนที่เขากำลังสนทนาอยู่ไม่ใช่ ‘เพื่อน’ ที่คบหากันมานาน เขาคงจะตวาดกลับไปแล้วขว้างปาโทรศัพท์ในมือทิ้งเพื่อระบายอารมณ์ไปแล้ว
“เข้าใจก็รีบตามมา!”
อัลเฟรโด้กดตัดสายอีกฝ่ายทิ้งด้วยอาการหงุดหงิดที่พุ่งทะยานสูงขึ้นอีกเมื่อ ‘เพื่อน’ อีกคนที่เขาสั่งให้มารับยังไม่โผล่หัวมาแม้แต่เงา จากที่อารมณ์ไม่ดีเพราะอีกคนตอนนี้กลายเป็นมาลงที่อีกคนไปจนหมด
“ทำไมยังมาโผล่มาอีกวะ” บ่นออกไปด้วยอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนลูกน้องทยอยกันเดินหลบฉากออกไปด้วยอาการหวาดๆ กลัวว่าหวยจะมาอีกที่ใครสักคนที่ยืนผิดที่ไม่ถูกเวลาตอนที่เจ้านายกำลังโกรธ อัลเฟโด้นั่งหัวเสียอยู่นานกว่าคนที่เขารอคอยจะมาถึง
ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำ ใบหน้าเรียบนิ่งทว่าหล่อเหลาในแบบของชายไทย เดินตรงเข้ามาหาด้วยท่าทีนิ่งเฉยราวกับไม่ทุกข์ร้อนที่ทำให้นักธุรกิจใหญ่อย่าง ‘อัลเฟรโด้ เอสเต’ ต้องรอนานมากกว่า 15 นาที
‘คราม คเณศร์’ นักธุรกิจเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในภาคใต้ เจ้าของฉายาเคที่เขาเอ่ยถึง ชายหนุ่มอายุน้อยที่ก้าวขึ้นมาเป็นนักธุรกิจชื่อดังผู้ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เจ้าของเกาะฟ้าคราม เกาะส่วนตัวที่ยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลงจากการดูแลของอีกฝ่าย
“นายมาสาย” น้ำเสียงที่เอ่ยติดแข็งแต่ก็ยังไม่ถึงกับตะคอก
“อ่อ โทษทีฉันติดธุระ”
คำตอบสั้นๆ กับสีหน้าเรียบนิ่งไร้แววตื่นกลัว ทำให้คิ้วเข้มกระตุก เส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนที่นักธุรกิจใหญ่จะได้อาละวาดฟาดหางใส่ใคร คนมาใหม่ที่ไร้ความเกรงกลัวใดๆ ก็เอ่ยต่อตัดบทออกมาเพียงสั้นๆ
“ไปเถอะ”
หลังจากหงุดหงิดที่ตัวเองเป็นฝ่ายหงุดหงิดอยู่คนเดียวมาพอสมควร อัลเฟรโด้ก็บังคับอารมณ์ที่เดือนพล่านของตัวเองให้สงบลงได้ ชายหนุ่มหันไปมองเสี้ยวหน้าของเพื่อนที่กำลังนั่งนิ่งเหมือนหุ่นปูนปั้นไร้ชีวิต ก่อนจะย่นคิ้วเมื่อเห็นรอยแดงเล็กๆ ที่โผล่พ่นคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมา รอยที่แค่มองก็รู้ว่าเกิดจากอะไร ก่อนจะฉุกคิดถึงสาเหตุที่เขาต้องนั่งรอนานเกือบชั่วโมงน่าจะมาจากเจ้าของรอยดังกล่าว
“มดกัดเหรอ”
คเณศร์ชะงักหันขวับไปมองคนถามคำถามที่ทำให้หัวใจของเขาหล่นวูบ มือหนายกขึ้นกระชับปกเสื้อเชิ้ตตัวในขึ้นอีก รับรู้ได้ว่าคำถามที่ได้ยินไม่ได้ต้องการคำตอบเพียงแต่ต้องการยืนยันในสิ่งที่ตัวเองสงสัยเท่านั้น
“อะแฮ่ม สงสัยจะใช่”
สงสัยจะใช่ หึ อัลเฟรโด้แสยะยิ้มร้ายก่อนจะเบนสายตากลับมามองท้องถนนด้านข้างต่อ แค่ได้ยินคำตอบก็รู้ไปถึงขั้นตอนของ ‘มดกัด’ รู้ว่าคเณศร์มาสายเพราะทำอะไรมาก่อนแต่ก็ไม่อยากคาดคั้นหรือโวยวายใส่อีกฝ่ายอย่างที่ควรเป็น เขาไม่ได้เป็นคนดีอะไรแต่ก็พอเข้าใจว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ ที่ค่อนข้างวุ่นวายของเพื่อนกับผู้หญิงสองคนที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมบนหน้าหนังสือไทยทุกฉบับมาหลายสัปดาห์ทำให้นักธุรกิจใหญ่ไม่อยากถือสาหาความ แต่ออกจะยินดีที่ในที่สุดผู้ชายเย็นชา ไร้รอยยิ้มอย่างคเณศร์จะมีความสุขจริงๆ เสียที เขาก็ได้แต่ช่วยภาวนาแต่ไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่
หลังจากปรับสีหน้า และน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติได้ คเณศร์จึงนึกถึงสิ่งของที่ตั้งใจจะนำมาให้เพื่อนขึ้นมาได้
“นี่เอกสาร” มือหนาหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลส่งมาให้ด้วยท่าทีนิ่งๆ ก่อนจะขยับตัวเอื้อมมือหยิบซองเอกสารรูปร่างหน้าตาเหมือนกันอีกซองส่งมาให้เพิ่ม
“รูปถ่าย และทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้นที่นายต้องการเพิ่ม”
อัลเฟรโด้รับซองเอกสารทั้งสองซองมาไว้ในมือก่อนจะเปิดมันออกแล้วหยิบทุกอย่างที่อยู่ในนั้นออกมา สายตาคู่คมดุดันกวาดมองเอกสารการเรียนจบ สำเนาสูติบัตร สำเนาบัตรประชาชน รูปถ่ายทุกอิริยาบถของหญิงสาวใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่เขา ‘สั่ง’ ให้เพื่อนดูแล
คเณศร์ตวัดสายตามองอาการของเพื่อนเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่มองรูปถ่ายของ ‘เด็กคนนั้น’ โดยไม่ยอมเอ่ยถามอะไรก็นึกถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้มาแล้วยังไม่ได้แจ้งให้อีกฝ่ายทราบขึ้นมาอีก ชายหนุ่มถอนหายใจแรงตัดสินใจเอ่ยบอกบางสิ่งที่ค้างคาใจและทำให้อารมณ์ขุ่นมัวมาหลายวันออกไป อัลเฟรโด้ควรจะต้องรับรู้ว่าเด็กคนนั้นลำบากแค่ไหนกับการต้องทนอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังนั้นที่เจ้าตัวเป็นคนอยู่เบื้องหลัง
“นายพิชัยติดการพนันอย่างหนัก เงินที่นายส่งมาให้เป็นค่าเล่าเรียนของ ‘บัวสวรรค์’ ถูกผลาญไปจนหมด เด็กคนนั้นต้องทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน และร่ำเรียนแบบลำบากยากแค้น พี่ชายต่างแม่แต่งงานหนีความอัตคัดของบ้านไปกับเศรษฐีนีอายุมากกว่า 12 ปี ส่วนพี่สาวยังคงเกาะพ่อแม่กิน โขกสับน้องสาวต่างแม่ที่เป็นลูกเมียน้อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือให้น้องสาวไปนอนในห้องคนใช้ และไล่คนใช้ออก บัวสวรรค์ต้องทำงานเป็นคนใช้ในบ้านของตัวเอง เงินทุกบาทที่นายส่งมา ‘เลี้ยง’ เธอมันไม่เคยตกถึงมือเธอสักแดง” คำพูดยาวๆ ที่หาฟังยากของคเณศร์ทำให้คิ้วเข้มกระตุกเล็กน้อยก่อนจะขมวดผูกเป็นปม อัลเฟรโด้หันไปมองหน้าคนพูดที่ยังคงนั่งกอดอกนิ่งเฉยเหมือนเดิม ดวงตาคู่คมหรี่เล็กลงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด การพูดอะไรยาวๆ ด้วยเรื่องของคนอื่นที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเองมันผิดวิสัยของผู้ชายอย่างคราม คเณศร์ จนกระทั่งเผลอคิดไปว่าอีกฝ่ายมีใจให้เด็กคนนั้นขึ้นมา
“นายชอบเธอ?”
“ฉันชอบเด็กดีทุกคน”
คำตอบที่เณศร์เอ่ยว่า ‘ฉันชอบเด็กดีทุกคน’ กระตุ้นเตือนให้อัลเฟรโด้คิดถึงใครอีกคนที่อาจเป็นเจ้าของรอยแดงเล็กๆ บนลำคอของเพื่อนได้ จริงสินะ คเณสร์ชอบ ‘เด็ก’ โดยเฉพาะเด็กดีที่ชีวิตมีปม อ่อนต่อโลกเช่น…
“รวมถึงปาริมาด้วยใช่ไหม”
อาการสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของเด็กผู้หญิงที่เจ้าตัวไปหลอกเขามาเป็นลูกไก่ในกำมือมันทำให้เพื่อนที่พอจะรู้จักนิสัยใจคอกันดีกลั้วหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆ นายดูร้อนตัวนะ”
“อะแฮ่ม ฉะ ฉันไม่ได้ร้อนตัว” เสียงกระแอมกระไอแก้เขินที่ดังขึ้นพร้อมใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเรียบนิ่งแดงก่ำลามไปถึงใบหู ตอบคำถามแทนคำพูดของเจ้าตัวจนหมด อัลเฟรโด้ยกยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้าเอือมระอาให้อาการปากแข็งของเพื่อน นี่คงจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเด็กผู้หญิงคนนั้นจาก ‘เมียน้อย’ ที่จ้างมาไปเป็นเมียข้าที่หลงรักเสียแล้ว
คเณศร์ปรับสีหน้าที่ร้อนๆ หนาวๆ วูบวาบผิดวิสัยแล้วกระแอมกระไอเสียงแผ่วอีกครั้งก่อนจะเอ่ยบางสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าผู้ชายเยือกเย็นไร้เมตตาเช่นเขาจะกล้าพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าสหายที่คบหาและรู้จักกันมาดิบดีได้
“แต่…” อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกตันที่ลำคอ พูดอะไรต่อไม่ออก ทว่าก็อยากชี้แจ้งแถลงไขความเข้าใจผิดให้เพื่อนได้รับทราบเสียใหม่ เมื่อ ‘ปาริมา’ ไม่ใช่คนที่เขาชื่นชอบอย่างที่อัลเฟรโด้กล่าวแต่ว่าเธอเป็นคนที่เขา…
“คนนั้นไม่ได้ชอบ คนนั้น… รัก”
เมื่อสารภาพออกไปตรงๆ แล้วก็เกิดอาการร้อนวูบวาบขึ้นมา
อายหรือ น่าจะใช่ ตอนนี้ผู้ชายเย็นชาอย่างคราม คเณศร์กำลังอาย แถมยังอายด้วยเรื่องของเด็กที่ตนเองจ้างมาเป็นเมียน้อยเสียด้วย
“หึ” เป็นอีกครั้งที่อัลเฟรโด้เผลอตัวกลั้วหัวเราะออกมาต่อหน้าเพื่อน แม้จะคบหากับคเณศร์มานานแต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทั้งคู่จะเปิดใจคุยกันมากเท่าครั้งนี้ เพราะโดยปกติสหายรักที่สนิทสนมกันที่สุดก็คงเป็น ‘หยางเบย์เดน’ ญาติผู้น้องที่เป็นเสมือนเพื่อน พี่ น้องชาย หรือพ่อในบางครั้ง ทว่าในบรรดาสมาชิกขององค์กรทั้ง 5 มีเพียงคเณศร์เท่านั้นที่ไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ห่างเหินในมิตรไมตรีที่แน่นแฟ้นไปทั้งหมด เพียงแต่อีกฝ่ายเป็นหนุ่มรักสันโดษ มีปมในใจ และเข้าถึงยากเสียหน่อยเท่านั้นเอง
“เดี๋ยวนี้กล้ายอมรับ”
ความจริงต้องพูดว่าเป็นครั้งแรกที่กล้ายอมรับมากกว่า เพราะคเณศร์เป็นชายหนุ่มผู้มีความคิดยากจะเข้าถึง อีกฝ่ายแต่งงานมีภรรยาในนามไปแล้วหนึ่งหน ก่อนจะมาแอบซุกเด็กอายุน้อยกว่าเกือบสิบปีไว้เป็นเมียในหัวใจเสียได้
“ก็คงงั้น”
อัลเฟรโด้มองใบหน้าหล่อเรียบนิ่งที่กำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่างแล้วถอนหายใจ การแต่งงานครั้งนั้นไม่ควรเรียกว่าการแต่งงานเสียด้วยซ้ำเมื่อเจ้าบ่าวไม่ได้สนใจในตัวเจ้าสาว และอยู่ในงานแต่งไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซ้ำ ที่แย่ไปกว่านั้นคือคเณศร์ไม่ได้ย้ายไปอยู่บ้านเจ้าสาว หรือให้เจ้าสาวย้ายมาอยู่ที่เกาะกับตน แต่เป็นการอยู่ใครอยู่มันต่างหาก
สามปีกับการแต่งงานแบบเคคงเหมือนนรกบนดินของผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ปาน เมื่อชายหนุ่มเย็นชา ไร้ความรู้สึก เด็ดขาด และไร้เมตตาจนน่าขนลุก อัลเฟรโด้รู้ดีว่าที่เพื่อนต้องยอมแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นก็เพื่อหุบกิจการของครอบครัวฝ่ายหญิงที่กำลังจะล้มละลายไม่ใช่เพราะเพื่อนเขาใจดี หรือต้องการช่วยเหลือครอบครัวที่กำลังตกที่นั่งลำบาก หากแต่… มันคือการนำบริษัทจิวเวลรี่ชื่อดังของตระกูลนั้นมาเป็นฉากบังหน้าในการฟอกเงินขององค์กร และขนถ่ายสินค้าเข้ามาในเมืองไทยเพื่อพักสินค้าก่อนส่งขายให้กับลูกค้าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นเอง
คราแรกที่ได้ยินหยางเบย์เดนเอ่ยเรื่องการแต่งงานของคเณศร์เขายอมรับว่าตกใจมาก ยิ่งเมื่อรับรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายยิ่งตกใจมากขึ้น แม้เขาจะเป็นชายรักสนุกที่วันๆ ไร้ความคิดเรื่องคู่ครองหรือแต่งงานแต่ก็พอจะรู้ว่าการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ใช่ใครจะตัดสินใจทำขึ้นมาได้เหมือนเล่นขายของ ทว่าคเณศร์กลับทำมันอย่างไร้ความลังเล แต่งงานโดยไม่สนใจผู้หญิงที่พยายามเข้าหารวบหัวรวบหางอยู่หลายครั้งก่อนจะไปพบสาวน้อยหน้ามนที่เจ้าตัวเก็บมาเป็นเมียน้อยขึ้นหิ้งซะได้
“ชีวิตนายวุ่นวายกว่าฉันอีกนะเค”
เสียงถอนหายใจหนักๆ หลังจากได้ยินคำพูดนี้ก็ทำให้อัลเฟรโด้ส่ายหน้าเบาๆ ตามไปด้วย ชายหนุ่มนึกไปถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมา อดกลัวไม่ได้ว่าชีวิตจะวุ่นวายแค่ไหนหากได้ ‘รับสินค้าพิเศษ’ กลับไปด้วย ไม่อยากจินตนาการถึงเวลาที่ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าสินค้าพิเศษอย่างเปิดเผยว่าชีวิตหนุ่มโสดอย่างเขาจะเป็นอย่างไร
บัวสวรรค์อายุย่าง 22 ส่วนเขาอายุย่าง 37 ห่างกันสิบกว่าปี แล้วแบบนี้คนไม่เคยเลี้ยงใครอย่างเขาจะทำได้หรือ แล้วหญิงสาวจะยินยอมตามไปด้วยดีๆ โดยไม่ขัดขืนหรือ คำถามมากมายสารพัดสาดซัดเข้ามาในหัวก่อนจะยิ่งกุมขมับเมื่อสายตาสบมองรูปถ่ายเต็มใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังยิ้มแย้มสดใสช่าง… น่ารักน่าชังเสียจนกระตุกหัวใจของคนด้านชาให้เต้นระรัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ อัลเฟรโด้สะดุ้งสะบัดศีรษะที่เผลอคิดอกุศลกับเด็กอายุเกือบคราวลูกก่อนจะวางรูปถ่ายของสินค้าพิเศษไว้ข้างกาย แต่ไม่ลืมเก็บทุกอย่างใส่ซองเอาไว้อย่างดี ก่อนจะกระแอมเสียงเบาแล้วเอ่ยถามอย่างเอ่ยกลบเกลื่อนอาการประหลาดของตนเอง
“กำหนดการประชุมองค์กรเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“อืม อีกสามวันทุกคนจะเดินทางมาถึงเมืองไทยพร้อมกัน”
“ดีแล้ว”
“เอส” น้ำเสียงที่ใช้เรียกชื่อเหมือนมีอะไรกังวลเจือปนมากมายจนทำให้เจ้าของชื่อต้องย่นคิ้วหันไปมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง อัลเฟรโด้นิ่งเงียบรอฟังบางสิ่งที่เพื่อนต้องการเอ่ย ไม่บ่อยหรอกที่ผู้ชายอย่างคเณศร์จะเอ่ยชื่อใครออกมาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
“นายมีอะไรอีกเค”
คเณศร์ถอนหายใจแรง รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่ตัวเอง สิ่งที่เขากำลังจะพูดมันผิดวิสัยผู้ชายเงียบแสนเย็นชาเช่นเขา อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวพันกับเขาโดยตรงในเมื่อเขาเป็นเพียงแค่คนที่อีกฝ่าย ‘สั่ง’ ให้เฝ้าดูแล และคอยส่งข่าวให้เท่านั้น แต่เวลา 2 ปีที่ได้เฝ้ามองเด็กประพฤติดีมาตลอดต้องผจญกับชีวิตยากแค้นแสนเข็ญเช่นนั้น ส่วนสำคัญก็มาจากเพื่อนของเขา และตัวเขาเองก็เหมือนจะผูกเกี่ยวตนเองเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้จนหลายครั้งเขาต้อง ‘แอบ’ ให้ความช่วยเหลืออยู่ห่างๆ ด้วยความสงสารจนไปสร้างความเข้าใจผิดให้ผู้หญิงของตัวเองด้วยซ้ำ วันนี้เขาจึงตัดสินจะพูดสิ่งที่ทำให้ตนเองนอนหลับไม่สนิทมา 2 ปีออกไป
“รีบไปรับเด็กคนนั้นซะ เพราะนายทำให้เธอลำบาก”
