บทที่ 4 เพื่อนสนิท

บนโต๊ะข้างเตียงนอนของโยษิตาคือรูปภาพของบิดาที่กำลังอุ้มหล่อนเอาไว้ในอ้อมแขน หญิงสาวแตะปลายนิ้วลงบนภาพบานนั้นด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้มละมุน แต่ไม่นานนัก รอยยิ้มอ่อนหวานกลับจางลง เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าคนในรูปภาพนั้นไม่ได้อยู่บนโลกใบอีกต่อไปแล้ว

หญิงสาวถอนหายใจบางเบา คิดถึงอดีตเด็กหญิงโยษิตาเมื่อยี่สิบปีก่อน เวลานั้นหล่อนอายุเพียงห้าขวบ เป็นลูกสาวของพ่อมนัส ท่านเคยเป็นคนสนิทของคุณเมธัตเมื่อวัยหนุ่ม หลังเลิกราจากมารดาของหล่อน ท่านรับหล่อนมาดูแลด้วยตัวเอง หญิงสาวยังจำได้ว่าตนวิ่งเล่นภายใต้คฤหาสน์แห่งนี้ทุกเมื่อเชื่อวันเมื่อบิดาต้องติดตามคุณเมธัตออกไปทำงาน หล่อนจะอยู่ในความดูแลของแม่บ้านคนเก่า ซึ่งถือเป็นคนสนิทของคุณผู้หญิงที่เสียชีวิตไป ส่วนมารุต…

โยษิตาหยุดชะงัก ไม่อยากคิดถึงเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง เวลานั้นมารุตเป็นเด็กชายร่างสูงเก้งก้าง อายุห่างกว่าหล่อนเจ็ดปี เขาค่อนข้างถือตัวเพราะถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนู และไม่เคยมาสุงสิงกับหล่อนซึ่งเป็นเพียงลูกสาวตัวน้อยของคนสนิทของบิดา แต่เมื่อมารดาของเขาเสียชีวิต มารุตถูกส่งตัวไปเรียนต่างประเทศทันทีหลังจากจบชั้นประถมศึกษาจากเมืองไทย

วันเวลาผ่านไป ต่างคนต่างเติบใหญ่เป็นหนุ่มสาว เมื่อมารุตกลับมานั้น หล่อนอายุยี่สิบเอ็ดปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่สาม ส่วนเขาอายุยี่สิบแปด เรียนจบนานแล้วแต่ไม่ยอมกลับเมืองไทยให้เป็นเรื่องเป็นราว เทียวไปเทียวมาจนคุณเมธัตเอ่ยปาก มารุตจึงตัดสินใจกลับบ้านในที่สุด พอกลับมาก็กลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัว รูปหล่อ หอมฟุ้ง และเจิดจรัสพราวพร่าง ได้รับความสนใจในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของคุณเมธัต อย่างล้นหลาม เพราะส่อแววนักธุรกิจอนาคตไกลไม่แพ้บิดา รอบกายมีสาวสวยล้อมรอบคอยเอาใจ เพื่อนฝูงมากมาย แต่ละคนดูหรูหราฟู่ฟ่า

แต่ที่ทำให้หล่อนจดจำได้ขึ้นใจก็คือวันที่ได้สบตากันเป็นครั้งแรกในห้องครัว นอกจากมีงานเลี้ยงต้อนรับแล้ว วันนั้นยังเป็นวันเกิดของเขาอีกด้วย มารุตมองหล่อนอย่างพินิจ นิ่งนาน คล้ายแปลกใจว่าหล่อนเป็นใคร หน้าไม่คุ้น แต่ยังไม่ทันได้ทักทายหรือพูดคุย เพื่อนสาวคนสวยของเขาก็ตามเข้ามากอดแล้วดึงตัวเขาออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงร้องเพลงที่ดังขึ้น

“เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจยาว เหลือบตามองนาฬิกาแล้วขบเม้มริมฝีปาก บางทีก็อยากนอนหลับลงไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย แต่ในความเป็นจริง ชีวิตไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ติ๊ง!

นาฬิการ้องเตือนบอกเวลาสามทุ่มตรง

เกลียดเขาเหลือเกิน คนร้ายกาจ เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว ไม่เคยรักใคร!

หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เอ่อออกมา แล้วผุดลุก พยายามปั้นหน้าให้เย็นชาเข้าไว้ อย่าให้ใครรู้ว่าหล่อนก็มีความรู้สึก รักเป็น เจ็บเป็น…

ร่างบางก้าวออกมาจากห้องนอนส่วนตัวชั้นล่าง มุ่งหน้าตรงไปยังบันไดสู่ชั้นบน แต่เท้ายังไม่ทันแตะบันไดขั้นแรก ร่างระหงในชุดนอนแสนเซ็กซี่ก็ก้าวมาขวางหน้าเอาไว้อีกหน

“ได้เวลาเสิร์ฟของคาวกลางดึกหรือจ๊ะ คุณแม่บ้าน”

รอยยิ้มดูถูกของวารุณีทำให้โยษิตาเปิดยิ้มตอบ

“จะของหวานหรือของคาวก็ไม่เห็นจะสำคัญเลยจริงไหมคะ เพราะที่สำคัญคือถ้าฉันไปช้ากว่านี้อีกนิด คืนนี้คงไม่ได้หลับได้นอน”

คำตอบของหญิงสาวทำให้วารุณีเม้มปาก ดวงตาวาววับขึ้นด้วยความโกรธเกลียดและริษยาคนตรงหน้าเต็มที! ก่อนกระซิบออกมาว่า

“หน้าด้าน!”

โยษิตาตวัดสายตามองคนพูด ริมฝีปากเม้มสนิทหักยิ้ม แต่ดวงตานั้นวาววับ

“ขอตัวนะคะ”

พูดจบร่างบางก็ก้าวผ่านหน้าวารุณีขึ้นบันไดไปอย่างไม่ยอมเสียเวลา ทำให้ภรรยาสาวของประมุขคฤหาสน์จิรประทีปต์มองตามด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มดั่งไฟสุมใจ

“อย่าคิดว่าแน่ สักวันฉันจะเขี่ยเธอให้พ้นทาง โยษิตา!”

คนที่หันหลังให้ชะงักลงเพียงนิด ก่อนจะก้าวต่อไปอย่างไม่คิดสนใจอีก จากนั้นผู้หญิงสองคนในฐานะที่แตกต่างจึงแยกจากกันคนละทาง

โยษิตาปิดประตูห้องของมารุตลงด้วยมือที่สั่นนิดๆ เป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มก้าวออกมาจากห้องน้ำ ร่างสูงชะงักมือที่กำลังถือผ้าขนหนูเช็ดศีรษะ ดวงตากคมกริบสบตาคู่สวยของคนที่หันกลับมายังเขาด้วยสายตาเป็นคำถาม

โยษิตาไม่ได้ตอบคำถามจากสายตาคู่นั้น แต่ก้าวเข้าไปหาพร้อมกับยื้อผ้าขนหนูในมือของชายหนุ่มมาถือเอาไว้เสียเอง ร่างสูงหันหน้าเข้าหาคนตัวบาง มองตาหล่อนนิ่งราวค้นคว้าขณะที่หญิงสาวเช็ดศีรษะให้เขาไปพลาง

“นั่งลงดีกว่าไหมคะ” ส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบของหญิงสาวไม่ช่วยอะไรเมื่อเทียบกับคนที่สูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบอย่างมารุต แต่เขากลับยืนนิ่ง เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับรวบเอวคอดเอาไว้แล้วอุ้มหล่อนขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน

“แบบนี้ดีกว่า” พูดจบก็จูบปากหล่อนหนักๆ อย่างจะแกล้งเสียมากกว่า แววตาพราวพร่างอย่างคนอารมณ์ดีขณะถอยหลังไปจนชนเข้ากับเตียงกว้างแล้วทิ้งตัวนั่งลงโดยมีร่างบางอยู่ตักของเขา

บทก่อนหน้า
บทถัดไป