บทที่ 6 บทที่ ๒ (๒) จบตอน
“ใช่แล้วไอ้แก้ว อีปิ่น หญิงผู้นี้หลงอยู่กลางป่ากล้วย มาขอที่พักที่หมู่บ้านข้าในหนึ่งคืน”
“ในที่สุดหมู่บ้านของเราก็มีแขกมาเยี่ยมเยือนเสียที!” เด็กหัวจุกเปลือยกายแสดงสีหน้าดีใจออกมาพลางกระโดดโหยงๆ สีหน้าของแพรวพราวที่มองเหล่าเด็กน้อยนั้นยิ่งยากจะอธิบาย ยิ่งเมื่อชายที่ซ้อนคชสารด้านหลังเน้นย้ำว่าที่นี่คือศรีอโยธยา แม้เป็นแค่รูปประโยคสั้นๆ แต่ชวนให้หล่อนตื่นตัวสิ้นดี
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่!
แพรวพราวฉลาดพอที่จะเก็บความตกใจระคนสับสนเอาไว้จนกระทั่งชายตรงหน้ากดส้นเท้ากระแทกกลางลำตัวช้างเป็นสัญญาณให้เจ้ากานพลูหมอบลงพร้อมกับลงจากหลังช้างโดยไม่ลืมที่จะรอรับหล่อนลงมาด้วย
คำถามแรกที่ก่อขึ้นภายในใจก็คือ เธอสามารถไว้ใจผู้ชายตรงหน้าได้มากแค่ไหน?
เขาเป็นคนแปลกหน้า และเป็นคนที่เคยรู้จักกับพ่อครูคันศรที่เรียกได้ว่าพยายามรังแกหล่อนทุกวิถีทางแถมยังหลอกให้ฝ่าดงกล้วยจนฟ้ามืด สุดท้ายจะไม่หลงเป็นพวกเดียวกันหรือไง
แต่คิดว่าหล่อนมีทางเลือกมากแค่ไหนกัน?
กระท่อมหลังเล็กนั้นเต็มไปด้วยเทียนไขที่ถูกจุดให้สว่างในยามค่ำคืน ตะวันตกดินแล้วฟ้าก็มืดครึ้ม หมู่บ้านที่ตั้งอยู่กลางป่านั้นเต็มไปด้วยเสียงร้องของจิ้งหรีดระคนสุนัขป่าที่หวีดร้องโหยหวน หรือที่เรียกกันในภาษาชาวบ้านว่าหมามันกำลังหอนนั่นล่ะ แพรวพราวรู้สึกหวาดกลัวมาก ทั้งๆ ที่นั่งกินข้าวเหนียวกับเนื้อสัตว์อยู่กลางแสงเทียนที่ส่องสว่างท่ามกลางความสนใจของเด็กหัวจุกชายหญิงทั้งสอง ก็มีสายตาของผู้ชายที่ช่วยเธอออกมาจากป่ากล้วยนั้นจ้องมองมาด้วย
“แม่หญิงจักบอกว่าตนมิใช่คนในยุคนี้งั้นรึ?” นั่นคือคำถามแรกหลังจากที่หล่อนตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างที่กำลังนั่งกินข้าวกับเขา มันไม่ได้เกิดจากความเชื่อใจแต่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ซึ่งกว่าหญิงที่อยู่บนกระท่อมจะปรุงอาหารเสร็จ ฟ้าก็มืดครึ้มเสียแล้ว พรานสมิงเลยจุดเทียนปักรอบๆ เนื่องจากที่นี่กันดารจนไม่มีไฟฟ้าหรือแม้แต่แสงตะเกียง กลางหมู่บ้านมีประชุมกองเพลิงอยู่ น่าแปลกที่คนในหมู่บ้านนี้รวมตัวกันแอบมองหล่อนจากกองไฟ แต่ไม่ได้เข้ามารบกวนอะไร
ความรู้สึกแรกคือมันแปลกพิกล และไม่น่าไว้ใจ แต่เธอไม่มีทางเลือกจริงๆ
“ฉันไม่รู้นะคะว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ความทรงจำสุดท้ายคือฉันตกลงมากลางอากาศ แล้วก็สติก็หลุดลอย มารู้สึกตัวอีกทีที่นี่ก็ไม่ใช่โลกที่ฉันเคยอยู่อีก”
เกิดความเงียบชั่วอึดใจ ชายผู้นั้นโพล่งออกมาหนึ่งคำ
“คงกลัวมากเลยสิหนา”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นสาวเจ้าที่กำลังจกข้าวเหนียวกับเนื้อหมูป่าทำทีเป็นแข็งแรงดีก็น้ำตาร่วงเผาะ พูดตามตรงหล่อนเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา มั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อยามสับสนก็มีมุมที่อ่อนแอเหมือนกัน
“ฮึก สรุปก็คือฉันตายไปแล้วใช่ไหม นี่มันไม่ใช่ตัวฉันใช่ไหม” ว่าพลางก้มลงมองร่างกายของตัวเอง นิ้วมือ และทุกสิ่งทุกอย่างยังไงก็ไม่ใช่แพรวพราวคนเดิมอยู่ดี ยากที่จะเชื่อว่าแพรวพราวนั้นรอดชีวิตในโลกที่เธอรุ่งโรจน์
“จักว่างั้นก็ย่อมได้ กายหยาบของแม่หญิงในโลกนั้นสิ้นไปแล้ว ตอนนี้พระพุทธองค์ให้ชีวิตใหม่แก่แม่ เพื่อให้แม่หญิงมาชดใช้กรรมในชาตินี้ อย่างไรก็อดทนไว้จนกว่ากรรมที่สร้างไว้จักถูกชดใช้จนเสร็จสิ้นเถิด” อีกฝ่ายว่าด้วยท่าทางนิ่งสงบกว่าปรกติ ทั้งที่ก่อนจะมาถึงหมู่บ้านก็ดูสดใสดีอยู่แท้ๆ
แพรวพราวหยุดสะอื้นไห้ ความสงสัยในตัวเขายังก่อตัวขึ้นอยู่เรื่อยๆ
“... แล้วทำไมนายถึงรู้ได้ล่ะว่าฉันเป็นใครมาจากไหน?” เพราะเกิดความรู้สึกแปลกใจจึงโพล่งขึ้นมาพร้อมด้วยน้ำตาที่อาบนองดวงหน้างาม พรานสมิงที่จ้องมองหล่อนอยู่ท่ามกลางแสงเทียนจึงกระตุกยิ้มออกมา
“เพราะชายผู้นั้นต้องการให้แม่มาชดใช้กรรมยังไงล่ะ”
สิ้นประโยคนั้น ทั้งกองไฟกลุ่มใหญ่ด้านนอก และแสงเทียนกลับถูกอะไรบางอย่างเป่าให้ดับสนิททั้งหมู่บ้าน เกิดเสียงชุลมุนวุ่นวายขึ้นรอบๆ ของเหล่าชาวบ้านที่กำลังถูกอะไรบางอย่างมุ่งเข้ากัดกินฉีกเนื้อเถือหนัง พอๆ กับเสียงกรีดร้องของแพรวพราวที่หวีดขึ้นทันทีที่ทุกอย่างเข้าสู่ความมืดสนิท ก่อนที่ต่อมาจะถูกชายตัวใหญ่กว่าเอามือปิดปากเอาไว้จนเธอไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมาได้นอกจากเสียงครางอื้ออึงในลำคอ
“เงียบเสีย... แพรวพราว”
“...!!!”
“สิ่งนั้นมันกำลังมา”
นั่นเป็นเสียงกระซิบทุ้มพร่าของพรานสมิงที่เรียกชื่อเล่นในโลกนั้นที่เธอจากมา ก่อนที่นอกกระท่อมจะได้ยินเสียงคำรามของอะไรบางอย่างที่น่าขนลุก ร่างเน่าเฟะน่าสะอิดสะเอียนและลำตัวขนาดใหญ่ช้ำเลือดช้ำหนอง ดำเป็นตอตะโกมิต่างจากศพที่ถูกไฟเผากำลังก้าวช้าๆ ด้วยดวงหน้าสยดสยอง เรียวปากกว้างแสยะยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวฟันแหลมคม น้ำลายแฉะเยิ้มรินรดพื้นดินพอๆ กับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง
เพราะตกอยู่ในความมืด พร้อมกับความเงียบสงัด ร่างเน่าเฟะนั้นค่อยๆ ก้าวผ่านไปจากกระท่อมหลังนั้นพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพที่โชยมาตามลม
“ฮึก...!” ต่อให้เป็นนางร้ายอันดับท็อปผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่ว่ากี่ฝน แต่พอมาเจอผีตัวเป็นๆ แบบนี้ก็แทบลืมหายใจเหมือนกัน หล่อนรู้สึกช็อกจนเหมือนจะขาดอากาศหายใจคาอ้อมแขนของพรานสมิงในวินาทีนั้น
“มันคือผีกะที่ไอ้คันศรเรียกมาฆ่าแม่ทิ้งในป่าอย่างไรล่ะ” เสียงทุ้มกระซิบอีกครั้งเมื่อพ้นจากสายตาอาฆาตของร่างเน่าเฟะ เขาพึมพำคาถาบางอย่างแต่แพรวพราวได้ยินไม่ถนัดนักเนื่องด้วยอาการช็อกทำให้หน้ามืดหูดับไปหมด ก่อนที่ร่างของเด็กหัวจุกทั้งสองที่อยู่ด้วยกันจะเปล่งแสงหม่นในความมืด เด็กสองคนนั้นก้มลงกราบแนบเท้าของพรานสมิงที่อยู่ข้างกายหล่อน
“ตามบัญชาจ้ะพ่อ”
ร่างเล็กจ้อยนั้นสำแดงอิทธิฤทธิ์แปลงตนเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่โตที่มีดวงตาสีชาด ขู่กรรโชกใส่ร่างสะอิดสะเอียนที่อยู่นอกกระท่อม พร้อมกับพุ่งทะลุกระท่อมที่แพรวพราวกับชายแปลกหน้านามว่าพรานสมิงพำนักอยู่ไปต่อหน้าต่อตา เสียงกัดกินเข้าห้ำหั่นกับตัวตนน่าสยดสยองที่ชื่อว่าผีกะดังขึ้นนอกกระท่อมจนเกิดความชุลมุน
หมับ!
“กรี๊ด”
ร่างของแพรวพราวถูกพรานสมิงช้อนขึ้นอุ้มพร้อมกับพุ่งออกประตู ชายกำยำพึมพำคาถาอีกครั้ง ในขณะที่หล่อนจะเห็นว่าพวกชาวบ้านในหมู่บ้านต่างเปลี่ยนกายเป็นเสือโคร่งแล้วเข้าไปรุมทึ้งขย้ำผีกะตนนั้นอย่างโหดเหี้ยม เหล่าเสือรุมกินซากศพเน่าเหม็นจนเกิดเสียงคำรามโหยหวนสุดท้ายอย่างน่าเวทนา น้ำเลือดน้ำหนองกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณพร้อมๆ กับตับไตไส้พุงของร่างนั้นที่มีหนอนแมลงขึ้นจนน่าขนลุกขนพอง เสือโคร่งทุกตัวฉีกเนื้อยื้อแย่งกันไปมา จนร่างเน่านั้นสลายกลายเป็นฝุ่นผง
“จงไปสู่สุขคติในสัมปรายภพเสีย ผีกะเอ๋ย”
สิ้นประโยคนั้น ร่างเสือโคร่งทุกตัวต่างมลายหายไป พร้อมๆ กับแพรวพราวที่ช็อกจนสติสตังดับวูบลงในทันที
เพล้ง!
เสียงหม้อดินลงยันต์สีชาดแตกเป็นสองส่วน ดวงตาคมกริบเบิกโพลงขึ้นมากลางตำหนักทรง เขาพ่นลมหายใจหนักหน่วง เนื่องด้วยไอ้พรานนั่นมันเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องราวของเขาอีกครา
ไอ้พรานสมิงนั่น
“เหลือเพลาอีกไม่มาก พระยาสิงห์จักมาไถ่ตัวอีแพรวในวันพรุ่ง หากกูมิกำจัดบ่วงนี้ให้สิ้นไป... ชะตากรรมของวาดรักจักมิปลอดภัย” เขาพึมพำกับตนเองด้วยความเคร่งเครียด เพราะวาดรักนั้นเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพ่อครูคันศร ในวันที่เขาไม่เหลือใคร หล่อนคือคนเดียวที่ทำให้เขายังอยู่ตรงนี้ วาดรักมอบชีวิตใหม่ให้แก่เขา จนเขาหลวมตัวรักหล่อนอย่างหมดดวงใจ
“พี่จักปกป้องเจ้าจนสุดความสามารถ”
ถ้าความรักคือการเสียสละ เขานี่แหละคือผู้ที่เสียสละให้วาดรักได้ทุกอย่าง ทุกอย่างแม้นกระทั่งยอมให้หล่อนกลายเป็นเมียของคนที่เขาเคารพนับถือที่สุด แม้จักรู้ว่าสักวันท่านผู้นั้นจักทำหล่อนน้ำตาตกในก็ตาม
ปล่อยอีแพรวให้มีชีวิตต่อไปก็ไร้ประโยชน์ บาปกรรมที่นางนั่นสร้างไว้มันหนักหนาเกินกว่าที่จักไถ่บาปได้แล้ว
ผีกะตายโหงโดนกำจัดทิ้งจากฝูงพรายสมิงที่รุมทึ้งซากศพอย่างป่าเถื่อน ส่วนอีแพรวนั้นรอดชีวิตแลกำลังอยู่ในอุ้งมือของพรานสมิง เพื่อนเก่าแก่ของเขา ที่แตกหักกันเพราะเรื่องของผู้หญิงมาก่อน
วาดรักคือ ‘ลูกสาว’ ของผู้หญิงคนนั้น
คนที่พรานสมิงใฝ่หานักหนา จนกระทั่งหล่อนจากไปด้วยอายุขัย
แต่อีแพรวมิเหมือนนาง อีแพรวเป็นหญิงชั่วสารเลว นางคิดคดทรยศทุกคนที่หยิบยื่นโอกาส คิดชั่วทำชั่ว หวังมาดร้ายฆ่าคนพรากลูกพรากแม่มิรู้กี่รายต่อกี่ราย แถมยังเล่นของทำเสน่ห์มนตร์ดำด้วยวิธีสกปรกโสมม ด้วยคาดหวังว่าหญิงที่เป็นเมียเอกของชายที่มาหลงใหลล้วนต่างต้องตายโหงทั้งสิ้น
จักให้เขาปล่อยนางกาลีนี่ไปได้ลงคออย่างงั้นหรือ
เนื้อร้ายจำเป็นต้องกำจัดทิ้งเท่านั้น
มิว่าจักชาตินี้หรือชาติไหน
“เฮือก!”
แพรวพราวลืมตาตื่นขึ้นในความมืดสนิทของป่า มองไปรอบๆ มีแต่ลำธารและดงกล้วยรกครึ้ม เสียงครางครืนของบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดใหญ่มหึมาดังอยู่ข้างกาย แต่เมื่อหันกลับไปก็พบกับพรานสมิงที่วักน้ำล้างตัวอยู่ไม่ไกลนัก พร้อมกับถูลำตัวใหญ่โตเปียกปอนของเจ้ากานพลูจนฝ่ายช้างป่าครางฮืมในลำคอเป็นเหตุให้ได้ยินสุ้มเสียงครางจนตื่น เขาเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่กลางลำธาร แสงจันทร์สีนวลสาดส่องจนเห็นบาดแผลสีชาดรอบตัว มันส่องสว่างเมื่อเขาเหลียวมามองราวกับรู้สึกตัวว่าหล่อนตื่นแล้ว
“ฟื้นแล้วหรือ” เสียงทุ้มพร่าดังอยู่กลางลำธารที่แผ่นน้ำเรียบนิ่งไม่เชี่ยวกรากจนน่าหวาดหวั่นทั้งที่ตรงหน้านั้นเป็นหุบเหว แพรวพราวยังคงสั่นกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย เมื่อเขาเรียกชื่อหล่อน เธอก็เผลอสะดุ้งเฮือกแล้วหยัดตัวกระถดถอยหนีทันที “กลัวข้าหรือ?”
“มะ... ไม่” ถึงจะอธิบายออกมาตรงๆ ไม่ได้ว่ากลัวเพราะเขาอาจไม่ใช่คน แต่อีกฝ่ายก็ช่วยชีวิตเธอไว้ไม่ใช่เหรอ? เมื่อคิดได้แบบนั้นแพรวพราวจึงเปล่งเสียงออกมาเพียงสั้นๆ “คุณเป็นใครกันแน่คะ?”
ชายตรงหน้านิ่งไป ก่อนที่จะฉีกยิ้มท่ามกลางรัตติกาล
“ข้าเป็นพราน”
“...”
“เป็นพรานป่าที่บังเอิญเลี้ยงเสือสมิงไว้หลายตัวน่ะ”
“... เสือสมิง!?”
เคยได้ยินว่าเสือสมิงเป็นผีหรือปีศาจที่แปลงกายเป็นเสือโคร่ง เคยเป็นละครมาก่อนจากรุ่นพี่นักแสดงที่เคยโด่งดังในอดีตกาล แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มาเจอกับตัวเองจริงๆ ถ้าอย่างนั้นชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้น ต่างก็เป็นเสือสมิงที่แปลงกายมาทั้งนั้นหรือ
งั้นก็หมายความว่าก่อนหน้านี้หล่อนก็อยู่ในดงเสือทั้งนั้นเลยสิ
แพรวพราวสับสน เธอแยกไม่ออกแล้วว่าอยู่ที่ไหนจะอันตรายกว่ากัน เพราะอีกฝ่ายก็เป็นหมอผีมีวิชาแล้วส่งผีมาตามล่าเธอ ส่วนฝ่ายที่ช่วยเธอเอาไว้ก็เลี้ยงเสือสมิงที่เป็นอสุรกายพื้นบ้านไทยเอาไว้เป็นฝูง
ไม่ว่าใครก็ตาม... ที่นี่ก็ไม่มีคนปกติทั้งนั้น
“พวกเขาชอบแม่นะ มิได้มองแม่เป็นศัตรูเช่นผีกะตนนั้น” แต่พรานสมิงก็พยายามฟอกขาวให้กับเหล่าเสือที่เขาเลี้ยงเอาไว้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าสมิงเหล่านั้นคือเหล่าคนที่ถูกขับไล่จากหมู่บ้านใหญ่ บ้างก็ถูกตามล่าเพื่อฆ่าเป็นอวิชชา เขาซึ่งสงสารจึงเลี้ยงเอาไว้และสร้างหมู่บ้านให้อาศัยกลางป่า แต่ก็ใช้อาคมพรางตาเอาไว้ แต่หญิงผู้นั้นฝ่าอาคมมาได้ และหลุดเข้ามาในวังวนของหมู่บ้านแห่งนี้
หมู่บ้านเล็กๆ และลำธารที่พ่อครูคันศรว่านั้นไม่มีอยู่จริง มีเพียงป่ากล้วยรกชัฏสุดลูกหูลูกตา มันคงกะจะให้นางวกวนหลงทางในนี้จนอดตาย แลถูกพี่กะตายโหงไล่ล่าฆ่าทิ้งในป่ากล้วยอย่าน่าเวทนา
ยอมรับว่าหญิงคนนั้นชะตาต้องตายในวันข้างหน้า แต่ว่า... เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นเมื่อดวงจิตในอดีตกาลถูกแทนที่ด้วยดวงจิตในชาติภพใหม่ เนื่องจากชาติภพนั้นหล่อนตายก่อนอายุขัยที่แท้จริง จึงต้องวนเวียนมาชดใช้กรรมที่หนักหนาในอดีต
มันไม่ต่างกับโลกคู่ขนานนักหรอก ในขณะที่แพรวพราวหลงมาที่นี่ ยุคสมัยของเธอก็ยังดำเนินต่อไป เขาเห็นนิมิตนั้นแล้ว... เธอคือดาราสาวหน้าตาสะสวยในรูปที่ตั้งหน้าพิธีศพนั่นเอง แฟนคลับมากมายต่างหลั่งไหล่ไปเคารพศพ พร้อมกับร่วมพิธีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ในชาติปัจจุบันหล่อนมีคนรักมากมายแตกต่างจากภพนี้
ภพที่มีแต่คนรังเกียจเดียดฉันท์จากการคิดชั่วจนกระทั่งตัวตาย
เขาไม่เหมือนพ่อครูคันศรที่มองแต่ปัจจุบันว่าหญิงผู้นี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตนเองได้ อคตินั้นบังตาพอๆ กับความรัก หากแต่พรานสมิงผู้ผ่านชีวิตมานับร้อยหนาว เขามองไปถึงอนาคต และต้องการหยิบยื่น ‘โอกาส’ ให้ผู้หญิงคนนี้ชดใช้กรรมในภพนี้ต่อไป
การที่ดวงจิตในภพชาติปัจจุบันวนเวียนผันผ่านนั้น ไม่น่าใช่เรื่องอาเพศของกาลเวลา กาลเวลาไม่เล่นกับความเป็นความตาย
แลการที่หล่อนตามหาหมู่บ้านพรายสมิงจนเจอ... ก็เป็นเรื่องที่พิเศษมากสำหรับเขา
“ลงมาชำระกายกับข้าไหม... แพรวพราว”
