บทที่ 7 บทที่ ๓ (๑)
“ลงมาชำระกายกับข้าไหม... แพรวพราว”
เป็นคำชวนแรกจากผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งวัน หญิงสาวชะงักไป หล่อนไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากลงไปในลำธารนิ่งสงบนั่นเสียเท่าไหร่ ทำแค่เพียงสลับกลับมานั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อย พร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอยู่ที่เนินตลิ่งอย่างใช้ความคิด
“ไม่ดีกว่าค่ะ” สุดท้ายจึงเลือกที่จะปฏิเสธออกไป
“มิไว้ใจข้าหรือ” ดวงหน้าคมคายนั้นฉีกยิ้มพรายทรงเสน่ห์ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีแถมเรือนกายกำยำล่ำสัน ที่ถ้าเป็นผู้หญิงใจง่ายทั่วไปคงแทบวิ่งเข้าใส่ หากแต่หญิงสาวยังตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริดจากเหตุการณ์ก่อนหน้าจนยากจะอธิบาย ถ้าพูดให้ถูกคือชายตรงหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ เธอไม่เคยรู้จักเขา แถมเขาไม่ใช่คนในยุคสมัยที่เธอจากมา ถึงจะช่วยเหลือกันไว้แต่หญิงสาวก็ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจนัก ก็เขาเลี้ยงสมิงไว้ทั้งฝูงนี่ เผลอๆ อาจจะหาทางทำมิดีมิร้ายเธอก็ได้
ต้องคิดลบไว้ก่อนเพราะตอนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันชวนสับสนมึนงงไปหมด
“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เราเพิ่งจะรู้จักกัน จะให้ฉันถอดเสื้อถอดผ้าลงไปอาบน้ำกับผู้ชายคงไม่ดีเท่าไหร่” อีกอย่างการที่จะได้ ‘กิน’ ผู้ชายสักคนเนี่ย แพรวพราวต้องแน่ใจเสียก่อนว่ารู้ตัวตนและโปรไฟล์ของเขาดีในระดับหนึ่ง หล่อนถือตัว และไม่ยอมให้ใครสักคนมาคุกคามร่างกายได้โดยง่าย ไม่ว่าจะด้วยสายตา วาจา หรือทางภาษากาย
“แม่เป็นหญิงที่ข้าสนใจ อีกอย่างลำธารนี้ข้าเป็นเจ้าของ หากแม่ลงมาจักได้รับการชำระบาปหนึ่งเรื่อง” หากตแต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้และยื่นข้อเสนอ
แต่ข้อเสนอนั้นทำให้เธอฉุนกึก
“ฉันไปทำบาปตอนไหน นายไม่รู้หรอกว่าชาติก่อนที่ฉันจะหลงมาที่นี่ ฉันลงเงินทำบุญสร้างอุโบสถไปกี่ล้าน ฉันให้ชีวิตหมาแมวจร บริจาคสิ่งของและเงินให้เด็กยากไร้ไปเท่าไหร่ ทำบุญหนักกว่านี้ก็แม่ชีแล้ว ฉันทำบาปอะไรตรงไหนมิทราบ?”
“บาปนั้นเป็นคนละส่วนกัน ที่แม่ทำมันคือกรรมในภพนั้น เอามาเทียบเคียงภพนี้มิได้ดอก” ชายหนุ่มกำยำที่ยืนเปลือยท่อนบนกลางลำธารส่ายหน้าไปมาและเริ่มให้คำอธิบาย แพรวพราวรู้สึกหงุดหงิด หรือร่างนี้ที่เธออยู่มันเลวขนาดที่บุญอะไรในชาติไหนไปก็ช่วยไม่ได้เลยหรือ?
“พูดเหมือนตอนอยู่ที่นี่ฉันทำเลวมามากงั้นล่ะ”
“ก็เป็นเช่นนั้น ร่างที่แม่เข้ามาชดใช้กรรมเป็นโสเภณีที่โรงรับชำเราบุรุษ หญิงงามเมืองที่เลื่องลือเรื่องแรงอาฆาตริษยา รู้หรือไม่ว่าที่พ่อครูคันศรอาฆาตแม่ เพราะร่างนี้คิดจักไปฆ่าหญิงที่มันรักด้วยอวิชชา”
“ตาย!” สาวเจ้ายกมือขึ้นทาบอก ตั้งแต่เล่นละครเป็นนางร้ายมากี่เรื่องๆ เพิ่งเจอคนที่คิดชั่วทำชั่วขนาดนี้แถมเป็นผู้หญิงด้วยนี่แหละ นาทีนี้ขอเปลี่ยนใจ เขาพูดอะไรมาจะรับฟังและเชื่อหมด เพราะการที่จะมาได้เห็นทั้งป่าจำแลงที่ดูเหมือนไม่มีอยู่จริงตรงหน้า ทั้งฝูงเสือสมิงที่แปลงกายเป็นชาวบ้าน และผีกะ ก็เหลือเกินจะเชื่อพอแล้ว “ชั่วมาก สรุปแล้วผู้หญิงคนนี้ก็คือฉันในชาติก่อนถูกไหม?”
“เข้าใจง่ายดีนี่” ชายหนุ่มกล่าวชื่นชม แต่สาวเจ้าสะบัดผมใส่ ก็เพราะต้องใช้วิชาวิเคราะห์ตีความจากบทละครหนาปึกที่ต้องอ่านเป็นประจำ มันเกิดจากความเคยชิน เธอมีพรสวรรค์ในเรื่องการจับใจความอยู่
“แล้วฉันต้องชดใช้กรรมยังไงล่ะ ต้องให้พ่อหมอนั่นทารุณกรรมเหมือนทาสในเรือนเบี้ยเหรอ? ไม่เอาหรอกนะ ชาติก่อนก็ส่วนชาติก่อนสิ”
“ไอ้คันศรมิคิดงั้นดอก มันรู้อยู่แก่ใจว่าแม่เป็นใคร แต่มันเลือกที่จักใช้อคติเป็นความเชื่อ มันไม่เชื่อว่าแม่จักกลับตัวได้”
“นิสัยเหมือนผู้ใหญ่ในวงการยุคฉันเนอะ เอะอะเห็นว่าเคยพลาดอะไรก็จะกำจัดทิ้งอย่างเดียว” หล่อนถือโอกาสวิพากษ์วิจารณ์แกมค่อนขอด พูดถึงก็คันปาก นึกหมั่นไส้ผู้ใหญ่ในวงการมานานแล้ว คนพวกนั้นแค่เห็นว่าในอดีตหล่อนเคยมีข่าวฉาวเรื่องผู้ชายกับเรื่องสูบบุหรี่ก็รับไม่ได้ที่ตัวตนไม่ใสบริสุทธิ์ตั้งแต่ในท้องแม่ เมืองไทยเมืองพุทธ ผู้หญิงต้องเรียบร้อยราวกับผ้าที่พับไว้แถมยังต้องขยันเลียแข้งเลียขาผู้ใหญ่อีกด้วย แต่แพรวพราวยืนหยัดด้วยตัวเองและตรงไปตรงมา พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นไม่ชอบเธอเลยหาทางกลั่นแกล้ง พากันแบนส่วนตัวรวมทั้งจ่ายค่าขายข่าวฉาวกะให้เธอจมดิน แต่เสียใจด้วยที่พอดีว่าเธอสวยและรวยมากถึงยังคงอันดับดาราแถวหน้าเอาไว้ได้
ก็เข้าใจว่าใช้มาอ้างอิงในพฤติกรรมของแพรวพราวในชาติก่อนไม่ได้ เพราะชาตินี้หล่อนอัพเลเวลจากความพลาดพลั้งมาเป็นขั้นกว่าของความตั้งใจและพยายามฆ่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เธอจำเป็นต้องก้มหน้ารับกรรมที่เธอในอดีตชาติก่อไว้งั้นเหรอ?
แพรวพราวก็คือแพรวพราว เธอเชื่อว่าช่วงชีวิตของเธอมีโอกาสมากกว่าใคร และทำบุญมาหนักกว่าใครๆ
เธอชดใช้กรรมให้ได้นะ แต่จะไม่ยอมโดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียวหรอก
คนที่เลี้ยงผีแล้วสั่งผีมาฆ่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวเนี่ย จะเป็นคนดีสักแค่ไหนกันเชียว
“พ่อครูนั่นมันต้องเจอฉัน”
“...”
“เรามาเซ็นสัญญากันไหมพรานสมิง นายเป็นเด็กในสังกัดฉัน ส่วนฉันเป็นเด็กในสังกัดของนาย” เนื่องด้วยอดีตเป็นดาราที่อยู่ท่ามกลางธุรกิจสื่อบันเทิง แพรวพราวท้าวคางยื่นข้อเสนอโดยที่ไม่มีอะไรมารับประกัน การเป็นดาราก็เหมือนขายหน้าตากับเรือนร่างนั่นแหละ โลกนี้เธอกลายมาเป็นหญิงงามเมืองก็คงจะไม่ต่างกัน พรานสมิงเหมือนตัวบัคที่สามารถต่อกรกับพ่อครูคันศรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ชอบเธอ เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องดีตอบ แน่นอนว่าต้องมีแบคหนุนหลังด้วยเหมือนที่เคยมีมาก่อนในชาตินู้น “ไม่ต้องทำสีหน้าสงสัยขนาดนั้นหรอก นายไม่รู้จักการเซ็นสัญญาใช่ไหม ในยุคของฉันเราต้องเซ็นสัญญากันให้เรียบร้อยก่อนที่จะตกลงทำธุรกิจร่วมกันน่ะ”
“ธุรกิจหรือ?” ยอมรับว่าอยู่มานับหลายสิบปีก็เพิ่งจะเคยได้ยินคำแปลกประหลาดนี้เหมือนกัน แต่ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนสีหน้าทันทีที่เข้าใจเรื่องราว หล่อนเป็นหญิงสาวที่พรานสมิงให้ความสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย หรือเพราะว่าหล่อนมีความมั่นใจเหลือล้นเหมือนกับเธอคนนั้น
“ส่วนข้อแลกเปลี่ยน เอาเป็น...”
“ข้าไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยน”
“...”
“ข้าตกลง”
ในตอนแรกแพรวพราวกะจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่แลกมาด้วยร่างกายของตนเอง ยังไงนี่มันก็คือเธอในภพชาติที่แล้ว อีกอย่างก็เกิดมาเป็นหญิงขายบริการยุคกรุงศรีอโยธยาทั้งที ไม่จำเป็นต้องสนใจค่านิยมรักนวลสงวนตัวหรือศักดิ์ศรีไร้ราคาเหล่านั้นสักเท่าไหร่ก็ได้ ว่ากันว่าเมื่อเสียบางสิ่งไปแล้วก็จะใช้ความคิดน้อยลงไปอีก ในยุคที่ผู้หญิงต้องใช้เรือนร่างแลกมากับเงินและอำนาจ เธอเองก็คิดว่าทำได้ดีไม่แพ้กัน ถึงในอดีตจะใช้ความสามารถของตัวเองไต่เต้าจนขึ้นมาเป็นดาราดังตัวท็อปๆ ของวงการบันเทิงได้ก็ตาม
มันก็น่าเจ็บใจและหนักใจเหมือนกัน ตัวตนที่เธอแสนภาคภูมิใจได้ตายไปแล้วในภพนั้น ทำอย่างกับว่ามีทางเลือกงั้นแหละ
แต่อย่างว่า... ของแบบนี้ต้องขอเวลาทำใจกันหน่อย ที่ยอมเพราะต้องอาศัยความอยู่รอดหรอกนะ ในตอนนี้พูดตามตรงหล่อนไม่ได้รู้สึกเป็นต่อหรือเหนือกว่าใครเลยแม้แต่น้อย เหมือนอยู่ในกำมือของพ่อครูคันศรและต้องระแวงวิ่งเต้นไปตามแผนการของเขาตลอดเวลา ทางรอดเดียวที่พอจะทำให้เธอรู้สึกว่าอาจจะมีโอกาสดิ้นรนต่อได้ก็คือพรานสมิงที่บังเอิญมาช่วยเหลือเอาไว้
ไม่ได้ไว้ใจ เธอเองก็ต้องระวังเขาเหมือนกัน
เธอจะไม่ให้เซ็กซ์มาเป็นพันธนาการตัวเธอกับเขาหรอก เธอใจแข็งพอ ขนาดนับสิบที่ว่าเป็นท็อปๆ ของวงการยังถูกเธอสยบซะอยู่หมัดเลย
แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนก็ถือว่าปัดตกไป แพรวพราวรู้สึกโล่งใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่มากสักเท่าไหร่ การที่พรานสมิงบอกว่าสนใจเธอ มันก็แค่ความรู้สึกประเดี๋ยวประด๋าวเวลาที่พวกผู้ชายเจอผู้หญิงสวยๆ และมั่นใจในตัวเองเท่านั้น
สุดท้ายเธอต้องหาทางรอดด้วยตัวคนเดียวอยู่ดี
“ฉันต้องกลับไปที่โรง... หมายถึงโรงรับชำเราอะไรนั่นอีกไหม” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธข้อแลกเปลี่ยนแล้ววักน้ำมาล้างซิกแพคของตนเองราวกับเจตนาจงใจหยัดยั่วอีกฝ่าย แต่สิ่งปลุกเร้าใจเหล่านั้นเธอเห็นมาเสียจนชินตาแล้ว แพรวพราวทำได้แค่เพียงมองผ่าน หัวใจของเธอนึกเป็นห่วงนับสิบขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
เด็กคนนั้นจะเสียใจไหมนะ... ที่เธอตายแบบนั้น?
แล้วทำไมพ่อครูคันศรถึงหน้าตาเหมือนนับสิบอย่างกับพิมพ์เดียวกัน?
“เจ้าจักกลับไปหรือ... ไปในที่ที่เจ้าเองก็เดียดฉันท์กับมันเนี่ยนะ” นั่นเป็นคำถามของพรานสมิงที่โพล่งขึ้นมาตามตรง แพรวพราวชะงักไป แน่นอนว่าคำว่าซ่องน่ะไม่มีใครอยากเข้าไปหรอกนอกเสียจากผู้ชายบ้าตัณหากลับ แต่การให้กลับไปอยู่กับหมอผีนั่นอีกเธอก็ไม่เอาเหมือนกัน “แม่แพรวที่เจ้ามาสวมวิญญา นางเองก็ดิ้นรนทุกวิถีทางที่จักออกจากโรงนรกนั่น โรงรับชำเราบุรุษมิต่างกับการค้าประเวณีแลค้ากามตัณหา ชายที่เข้ามามองแม่เป็นเพียงสัตว์ ที่จักทำกระไรก็ได้ ถึงตายก็ไม่มีผู้ใดเห็นค่า”
“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันจะไม่กลับไปหาหมอผีคันศรแน่นอน คนๆ นั้นสั่งผีให้มาฆ่าฉันเชียวนะ”
“พระยาสิงห์จักมาไถ่ตัวเจ้าในวันพรุ่ง ไปอยู่กับพระยาสิงห์จักมิดีกว่าหรือ?” ตัวละครใหม่หลุดออกมาจากปากของพรานสมิง แพรวพราวถึงกับมึนตึ้บ ไม่คิดว่าตัวละครผู้ชายจะเพิ่มมาอีกคน แถมคนนี้ดูจะเกี่ยวข้องกับร่างที่เธอมาสวมบทด้วย
“เขาคือใครคะ?”
“ชายผู้นั้นคือคนใหญ่คนโตที่ติดใจแม่แพรวจากเสน่ห์ยาแฝดจนตัดสินใจมาไถ่ตัวด้วยจำนวนเงินมหาศาล แลแม่ก็รู้เรื่องนี้จึงตัดสินใจไปทำพิธีกรรมเสริมเสน่ห์กับไอ้คันศร หวังหาทางปลิดชีวิตเมียแลลูกของพระยาสิงห์ เพื่อให้แม่แลลูกแม่ในอนาคตเป็นใหญ่แลได้ทรัพย์สินทั้งหมดของวงศ์ตระกูลนี้”
โอ้โห
เลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
งั้นก็ไม่แปลกใจถ้าจะโดนใครต่อใครเกลียดชัง ไอ้ความคิดพรากแม่พรากเด็กแบบนี้เธอเกลียดที่สุดเลย ถึงแม้ว่าแพรวพราวจะไม่ได้รักเด็กก็ตาม
