บทที่ 3 เผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
พอสุเจริญเห็นท่าทางไม่ยี่หระของเธอ ก็โกรธจนเต้นผาง ตะโกนด่าทอไล่หลังเธอไปทันที
"อย่าคิดว่าสอบติดมหาวิทยาลัยดีๆ ได้แล้วจะวิเศษวิโสนักนะ! ถึงเวลาจะไม่แบมือขอค่าเทอมค่ากินอยู่จากฉันหรือไง? จะมาทำเก่งอะไรฮะ? แล้วทำหน้าบึ้งตึงใส่ใคร? สันดานเหมือนแม่แกที่ตายไปแล้วไม่มีผิด!"
แจกันใบหนึ่งลอยละลิ่วลงมาจากด้านบน
"เพล้ง!" เสียงดังสนั่น มันแตกกระจายอยู่ตรงหน้าสุเจริญ
เขาตกใจจนสะดุ้งโหยงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ปากก็พ่นคำด่าออกมาไม่หยุด
สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงปิดประตูดัง "ปัง" สนั่นหวั่นไหวจากชั้นบน
อัญญารัตน์ปิดประตูห้องแล้วก็คร้านจะจัดการธุระส่วนตัว เธอทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงแล้วหลับไปดื้อๆ
หลังจากเข้ามหาวิทยาลัย อัญญารัตน์มักจะรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีแรงอยู่ทุกวัน
แถมยังเจริญอาหารขึ้นมาก และง่วงเหงาหาวนอนง่ายเป็นพิเศษ
ในที่สุดก็ถึงช่วงปิดเทอม ก่อนกลับบ้านเธอจึงแวะไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
ผลการตรวจทำให้เธอรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
หมอแจ้งว่าเธอตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว
เธอกำใบผลตรวจแน่น ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
แต่ก็จำต้องยอมรับความจริง
ต้องเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนคืนนั้นแน่ๆ คืนที่เธอถูกวางยา...
ผลพวงจากค่ำคืนอันสับสนวุ่นวายระหว่างเธอกับผู้ชายคนนั้น
เธอทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ถามหมอว่าจะจัดการอย่างไรดี
หมอเห็นว่าเธอยังดูเด็กมาก จึงถามไถ่ว่ายังเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า
เธอเพิ่งจะอยู่ปีหนึ่ง แน่นอนว่าไม่สามารถตั้งครรภ์และมีลูกได้
ไม่อย่างนั้นอนาคตทางการศึกษาของเธอคงจบสิ้น
เธอจึงวิงวอนขอให้หมอช่วยเอาเด็กออก
หมอแจ้งด้วยความเสียใจว่า ผนังมดลูกของเธอบางมาก หากฝืนทำแท้งจะเป็นอันตราย
และเกรงว่าเธออาจจะไม่สามารถมีบุตรได้อีกตลอดชีวิต
ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจทำเรื่องพักการเรียน และจะคลอดเด็กคนนี้ออกมา
แต่ทว่าเมื่อเธอกลับไปถึงมหาวิทยาลัยและกำลังจะยื่นเรื่องขอพักการเรียน ทางมหาวิทยาลัยกลับแจ้งว่า เรื่องที่เธอตั้งครรภ์โดยไม่ได้แต่งงานถูกนำไปโพสต์ประจานว่อนอินเทอร์เน็ตแล้ว
ประเด็นสำคัญคือไม่มีใครรู้ว่าพ่อของเด็กเป็นใคร
ในโลกออนไลน์ลือกันให้แซ่ดว่าอัญญารัตน์มีชีวิตส่วนตัวที่เหลวแหลก ไม่เพียงแต่ท้องตั้งแต่สมัยมัธยม แต่ยังเคยทำแท้งมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นอนกับผู้ชายไม่เลือกหน้าจนไม่รู้ว่าเด็กในท้องเป็นลูกเต้าเหล่าใคร หรือเป็นลูกของชายชู้คนไหนกันแน่ ภายนอกดูเป็นคนนิ่งๆ หยิ่งๆ แต่ไม่นึกเลยว่าลับหลังจะร่านสวาท ทำตัวเป็นหญิงแพศยาได้ขนาดนี้...
ทั้งหมดล้วนเป็นถ้อยคำก่นด่าสาปแช่ง
ทางมหาวิทยาลัยเห็นแก่ชื่อเสียงของสถาบันจึงบีบให้เธอลาออก
เพราะขืนมีนักศึกษาแบบเธออยู่ต่อไปก็จะเป็นจุดด่างพร้อยของมหาวิทยาลัย
ในที่สุดทางสถาบันจึงคัดชื่อเธอออกจากการเป็นนักศึกษา
เธอเดินซมซานออกจากรั้วมหาวิทยาลัยอย่างคนไร้วิญญาณ
จนกระทั่งถึงกำหนดคลอด
ขณะที่เธอต้องเผชิญกับความเป็นความตายในห้องคลอด จนในที่สุดก็ให้กำเนิดทารกออกมาได้
แต่พยาบาลผดุงครรภ์กลับแจ้งข่าวร้ายว่า เพราะเธอเสียเวลาเดินทางมาโรงพยาบาลนานเกินไป ทำให้ทารกขาดออกซิเจนในครรภ์ เมื่อคลอดออกมาจึงไม่มีสัญญาณชีพและลมหายใจแล้ว
อัญญารัตน์นอนระทดระทวยอยู่บนเตียงคลอดอย่างสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็ช็อกจนหมดสติไปทันที
พอสุเจริญรู้ข่าว ก็ไม่สนใจไยดีเลยว่าเธอเพิ่งจะผ่านการคลอดลูกมาหมาดๆ ร่างกายยังอ่อนแอเพียงใด เขาจัดการทำเรื่องส่งเธอไปทิ้งไว้ที่ต่างประเทศทันที และนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่เคยสนใจความเป็นความตายของเธออีกเลย
ราวกับว่าเธอไม่เคยเป็นลูกสาวของสุเจริญ
ในเวลานั้น อัญญารัตน์ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในต่างแดน แบกรับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสทั้งทางร่างกายและจิตใจ
พอร่างกายเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เธอก็เริ่มทำงานพาร์ทไทม์สารพัดอย่างเพื่อหาเลี้ยงชีพ
จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาชื่อ "ธราธิป"
เจ็ดปีให้หลัง
ณ โรงแรมที่หรูหราที่สุดในเมืองเอ
ภายในห้องแต่งตัว
อัญญารัตน์ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางไว้อย่างประณีตงดงาม
เธอยืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ มือจับชายกระโปรงยกขึ้นเล็กน้อย สวมรองเท้าส้นเข็ม แล้วหมุนตัวเบาๆ
ภาพหญิงสาวในกระจกนั้นมีรูปร่างทรวดทรงงดงาม เครื่องหน้าสวยดั่งภาพวาด ดวงตาเป็นประกายระยับ รอยยิ้มช่างหวานหยาดเยิ้ม
เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ
คนที่เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของผู้คนอย่างเธอ ก็สามารถมีความสุขได้เหมือนกัน
วันนี้คือวันพิธีหมั้นระหว่างเธอกับธราธิป
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนอายุสิบแปดปี ทำให้เธอถูกขับไล่ออกจากตระกูลวุฒิยาภรณ์ ซ้ำยังถูกมหาวิทยาลัยรีไทร์ ชื่อเสียงเกียรติยศป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
ใครต่อใครต่างด่าทอว่าเธอเป็นหญิงแพศยา มองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม
แต่ธราธิปไม่เป็นอย่างนั้น ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาคอยอยู่เคียงข้างอัญญารัตน์มาตลอด ไม่เคยทอดทิ้งเธอไปไหน
ที่สำคัญที่สุดคือ เขารับรู้เรื่องราวในอดีตของเธอทุกอย่าง เขาเห็นใจเธอ และรักเธอด้วยใจจริง
ใบหน้าของอัญญารัตน์เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังอันสวยงามที่มีต่ออนาคต
เธอจัดทรงผมหน้ากระจกให้เข้าที่ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวหิ้วชายกระโปรงชุดเจ้าสาวเดินตรงไปยังประตู
กลิ่นควันไฟที่ลอยมาเตะจมูกอย่างกะทันหัน ทำให้เธอต้องรีบยกมือปิดปากและไอออกมา
ดวงตาเกิดอาการระคายเคืองจนน้ำตาแทบไหล
เธอใช้มือที่สวมถุงมือลูกไม้สีขาวค่อยๆ เปิดประตูออก แต่กลับถูกกลุ่มควันหนาทึบพุ่งเข้าใส่หน้าอย่างจัง
จนเธอเซถลาถอยหลังไปสองก้าว
เกิดอะไรขึ้น? ไฟไหม้เหรอ?
เมื่อกี้ทุกอย่างยังปกติดีอยู่เลยนี่นา
อัญญารัตน์ไม่รอช้า รีบรวบชายกระโปรงชุดเจ้าสาวที่ยาวลากพื้นขึ้นมาผูกปมไว้ด้านหน้า
บนโต๊ะมีขวดน้ำแร่ที่ช่างแต่งหน้าเพิ่งดื่มวางอยู่ เธอคว้ามันขึ้นมาเทใส่มือจนถุงมือเปียกชุ่ม แล้วรีบยกขึ้นปิดจมูกก่อนจะวิ่งออกจากห้องแต่งตัวไปอย่างรวดเร็ว
ห้องจัดเลี้ยงที่เมื่อช่วงเช้ายังเต็มไปด้วยผู้คนและเสียงชนแก้วสังสรรค์อย่างครึกครื้น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยควันไฟคละคลุ้งและข้าวของล้มระเนระนาด
ภายในห้องโถงแทบจะไร้ผู้คน
ไฟคงไม่ได้เพิ่งจะลุกไหม้
ดูเหมือนว่าแขกเหรื่อคงจะอพยพหนีออกไปกันหมดแล้ว
อัญญารัตน์รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง
แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงไม่มีใครมาบอกเธอเลยว่าไฟไหม้?
แล้วคู่หมั้นของเธอ พระเอกของงานในวันนี้อย่างธราธิป เขาหายไปไหนกันนะ?
ทางด้านกำแพงและเสาของห้องโถง เปลวเพลิงกำลังลุกโชนราวกับอสูรร้ายที่กำลังอ้าปากกว้างเตรียมจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง รวมถึงอัญญารัตน์ที่กำลังยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
เธอไม่กล้ารอช้าอีกต่อไป รวบรวมแรงทั้งหมดวิ่งตรงไปยังทิศทางของทางออกตามความทรงจำ
ความหวาดกลัวอย่างรุนแรงเข้าเกาะกุมจิตใจ
ความสิ้นหวังถาโถมเข้ามาในอก ร่างกายของเธอสั่นเทาไปทั้งตัว
ฝีเท้าเริ่มโซซัดโซเซ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก รอบกายเต็มไปด้วยคลื่นความร้อนที่แผดเผาผิวหนัง ควันไฟหนาทึบเบื้องหน้าทำให้เธอมองไม่เห็นอะไรเลยในระยะไม่กี่เมตร
ในขณะที่เธอกำลังจะขาดอากาศหายใจ เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังแว่วมา
เสียงนั้นตะโกนก้องว่า "ยังมีใครอยู่ข้างในอีกไหม?"
นั่นคือเสียงของธราธิป คู่หมั้นของเธอ เขาฝ่ากองเพลิงเข้ามาโดยไม่ห่วงชีวิต
วินาทีนั้น เธอราวกับเห็นอัศวินขี่ม้าขาวมาโปรด
เธอไม่สนควันไฟที่พุ่งเข้ามาสำลัก พยายามตะโกนตอบกลับไปทางต้นเสียงอย่างร้อนรน "ธราธิป! ฉันอยู่นี่... แค่กๆ..."
กลุ่มควันหนาเข้าปกคลุมจนเธอไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้อีก
เธอได้แต่เบิกตามองธราธิปที่ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงและมองไม่เห็นเธอ เขายังคงกวาดสายตามองหาไปทั่วด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
ทันใดนั้น เหมือนเขาจะพบอะไรบางอย่าง จึงรีบพุ่งตัววิ่งไปอีกทางหนึ่งทันที
อัญญารัตน์ได้แต่ยืนมองธราธิปอุ้มผู้หญิงอีกคนฝ่ากองเพลิงออกไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งเธอไว้เบื้องหลังอย่างไม่ไยดี
ท่ามกลางควันไฟหนาทึบ อัญญารัตน์ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนั้นอย่างชัดเจน เป็นน้ำเสียงที่อ่อนระโหยโรยแรง ฟังดูบอบบางและน่าสงสาร เธอกำลังพูดว่า "พี่ธราธิป... นภารู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องมาช่วย... พี่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อกี้กลัวแค่ไหน นภากลัวว่าจะไม่ได้เจอหน้าพี่อีกแล้ว..."
ธราธิปอุ้มเธอวิ่งออกไปพลางเอ่ยปากปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน "เด็กดี... นภาไม่ต้องกลัวนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะไม่มีวันทิ้งเราเด็ดขาด!"
วินาทีนั้น อัญญารัตน์รู้สึกราวกับถูกไม้หน้าสามฟาดเข้าแสกหน้าอย่างจัง ขาแข้งอ่อนแรงจนยืนแทบไม่อยู่ ดวงตาพร่ามัว ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วอก
ที่แท้ผู้หญิงคนนั้นก็คือ "นวลนภา" น้องสาวต่างมารดาของเธอนั่นเอง
