บทที่ 2 ว่าที่เมีย

“พี่ภูผานะพี่ภูผา” ภูพิงค์บ่นพึมพำ หูฟังเพลง มือเปิดประตูเข้าบ้าน ใบหน้าหวานบูดบึ้งเมื่อพี่ชายไม่ยอมให้ไปบ้านคุณลุงด้วย

Sweet baby, our sex has meaning

Know this time you'll stay 'til the morning

Duvet days and vanilla ice cream

More than just one night together exclusively

[Pre-Chorus]

Baby, Let Me be your man

So I can love you

And if you let me be your man

Then I'll take care of you, you

[Chorus]

For the rest of my life, for the rest of yours

For the rest of my life, for the rest of yours

For the rest of ours

“คอยดูเถอะหนูจะฟ้องพ่อจ๋าแม่จ๋าว่าพี่รักแต่ขุนศึก ฮื่อ” หญิงสาวเดินอิดออดถอนหายใจมองซ้ายมองขวาด้วยความระแวง เพราะหลายวันมานี้เธอรู้สึกว่าตัวเองถูกสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ตลอด

เฮ้อ...ภูพิงค์ถอนหายใจเดินตรงเข้าตัวบ้านใหญ่ เพราะวันนี้พ่อแม่ติดงานกว่าจะกลับก็คงมืด แล้วพี่ชายกับน้องชายยังทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว ถึงจะบอกว่าไปไม่นานก็น่าจะให้ตามไปด้วย

“คนใจร้าย!” มือเรียวเกี่ยวหูฟังเก็บเข้ากระเป๋า แล้วต้องงุนงงเมื่อเห็นใครก็ไม่รู้อยู่ตรงหน้าประตูบ้าน

“มาหาใครคะ พ่อไม่อยู่แม่ก็ไม่อยู่ พี่ภูผาก็ไม่อยู่...ขุนศึกก็ไม่อยู่” เด็กสาวในชุดนักเรียน ม.ปลายพูดและยิ้มให้แขกที่มาเยือน เขาเป็นหนุ่มลูกครึ่งผิวขาว จะว่าฝรั่งก็ไม่ใช่น่าจะเป็นลูกเสี้ยวมากกว่า แต่เขารูปร่างหน้าตาดี พร้อมผมทรงอันเดอร์คัตที่ดูหล่อเท่สะดุดตา แต่ดู ๆ แล้วไม่ค่อยน่าไว้ใจ

“นี่ลุง! หนูบอกว่าไม่มีใครอยู่ ค่อยมาวันหลังนะคะ” แต่เขาไม่ฟังกลับเดินผ่านหน้าเธอเข้าไปในบ้านอย่างหน้าตาเฉย

“แล้วเปิดบ้านได้ไง?” เด็กสาวยกมือเกาหัวตัวเอง

“หยุดนะลุง!!! หูหนวกรึไง” ก่อนภูพิงค์จะตะโกนเสียงดัง ดึงร่างใหญ่ของชายรูปร่างหน้าตาดีที่น่าจะอายุเยอะกว่าเธออยู่หลายปี แต่เขาไม่หยุดกลับเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของเธอ

“นี่ นั่นมันห้องหนู เข้าไม่ได้” คนตัวเล็กรีบเดินเข้าไปขวางคนแปลกหน้าไว้

“หลบ ง่วง จะนอน” เขาถอดแว่นตาออก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าหวาน ยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน

หมับ!!!

“เด็กทุกวันนี้โตเร็วเป็นบ้า” มือสากหนาคว้าดึงคนตัวเล็กเข้ามากอด ส่งสายตาเจ้าชู้มองจ้องไปที่หน้าอก

“พ่อมาแล้วปลุกด้วย เหนื่อยเป็นบ้าเลย” แล้วภูพิงค์ก็ได้แต่อ้าปากค้าง ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ อึ้ง มึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า

“เฮือก!!” คนตัวเล็กแทบจะหยุดหายใจ กลัวจนตัวสั่น เมื่ออยู่ ๆ เขาก็ขโมยหอมแก้มใส ก่อนจะปล่อยตัวเธอแล้วเดินตรงไปยังเตียง คนตัวเล็กได้แต่ยืนนิ่ง เป็นเจ้าของห้องแท้ ๆ กลับได้แต่มองคนแปลกหน้าก้าวเท้าขึ้นไปนอนบนเตียงที่หวงแหน

“.....” ก่อนเธอจะตั้งสติ และสิ่งเดียวที่รู้คือต้องออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ไวเท่าความคิดสองเท้ารีบวิ่งไปรอพี่ชายข้างล่างทันที

“ขุนศึก พี่ภูผา ช่วยด้วย” ภูพิงค์รีบวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายด้วยความหวาดกลัว โชคดีที่สองหนุ่มกลับมาบ้านได้ทันเวลา

“ภูพิงค์เป็นอะไร” เห็นแบบนั้นภูผารีบกอดปลอบน้องด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยเห็นน้องสาวกลัวอะไรจนตัวสั่นแบบนี้มาก่อน

“ใครไม่รู้อยู่บนห้องหนู ไม่รู้ว่ามาจากไหน พอหนูมาถึงบ้านเขาก็อยู่หน้าบ้าน แล้วอยู่ ๆ เขาก็เดินเข้าบ้านตรงขึ้นไปบนห้องหนู พี่ภูผา หนูกลัว” เด็กสาวร้องไห้สะอื้นกอดพี่ชายแน่น

“ใครวะ เดี๋ยวพี่จัดการให้เองน้อง” ขุนศึกที่ฟังอยู่ ฉุนขึ้นมาทันที พร้อมท่าทางเอาเรื่องจะเดินขึ้นไปบนห้อง

“หยุด ขุนศึกจะไปไหน อยู่ข้างล่างรอจนกว่าพ่อแม่จะกลับมา ห้ามขึ้นไปข้างบน” ภูผารีบพูดท้วงน้องชายที่ทำท่าทีขึงขัง ถ้าเกิดเป็นโจร และถ้าซวยไปกว่านั้นเขามีอาวุธจะทำยังไง

“พี่ผา อะไรวะ ผมพร้อมบวกกลัวอะไรนี่มันบ้านเรานะพี่” ขุนศึกจ้องหน้าพี่ชายอย่างไม่พอใจ

“ไปรอพ่อกับแม่ที่ห้องรับแขก ภูพิงค์ไปอยู่กับน้องเดี๋ยวพี่โทรหาพ่อก่อน”

“โอ๋ ๆ ๆ ๆ ไม่ร้องนะคนสวยของพี่ มา ๆ พี่กอดปลอบ” ขุนศึกเดินเข้าไปกอดหอม ปลอบพี่สาวที่กำลังตกใจกลัว ด้วยสีหน้าท่าทางที่ทะเล้นกวนตามประสาท

“ฮื่อ” ยิ่งน้องโอ๋แบบนั้นภูพิงค์ก็ยิ่งร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง ภูผาได้แต่ถอนหายใจรีบโทรบอกให้พ่อกับแม่รีบกลับมา

1 ชั่วโมงผ่านไป

สไนเปอร์กับนับดาวพอรู้เรื่องก็รีบขับรถกลับบ้าน แต่เพราะรถติดกว่าจะถึงบ้านก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง สองสามีภรรยาเดินอย่างรีบเร่งเข้าบ้านด้วยความเป็นห่วงลูก ๆ

“พ่อจ๋า แม่จ๋า ฮื่อ!!!!” เด็กขี้อ้อนพอเห็นพ่อกับแม่เดินเข้าบ้านเท่านั้นแหละ ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม

“ภูพิงค์ หยุดร้องก่อนหนวกหู” ขุนศึกถึงกับพูดเอ็ดพี่สาวที่ร้องไห้แบบนี้มาเป็นชั่วโมง

“ก็พี่กลัวนิ ฮื่อ…ใครก็ไม่รู้น่ากลัว หน้าเขาเหมือนพวกโรคจิตเลยค่ะพ่อ หนูกลัว” เด็กสาวเอาแต่กอดพ่อที่ได้แต่นั่งนิ่งพยายามคิดว่าใครกันที่มันกล้าบุกเข้าบ้านแล้วยังกล้าบุกเข้าถึงห้องนอนลูกสาวสุดที่รักอีก

“ไปหาแม่ เดี๋ยวพ่อไปดูเอง” สไนเปอร์กอดปลอบหอมหัวลูกรัก

“แม่จ๋า ฮื่อ…ภูพิงค์กลัว” ภูพิงค์โผเข้ากอดแม่ด้วยความหวาดกลัว

“แม่มาแล้วไม่ต้องร้อง พี่ภูผาก็อยู่ น้องก็อยู่ หยุดร้องไห้ก่อนลูก” นับดาวเองก็ได้แต่กอดปลอบลูก ปกติภูพิงค์ไม่ใช่เด็กขี้กลัวแบบนี้ แต่ใครเจอแบบนี้ก็ต้องตกใจกลัวเป็นธรรมดา

“จะร้องอะไรอายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คนแค่ง่วงขอนอนห้องแค่นี้ทำอย่างกับจะตาย”

ขวับ!!

สี่คนพ่อแม่ลูกหันไปมองเจ้าของเสียงห้าวกวน ๆ เป็นตาเดียว

“สวัสดีครับพี่" เขาเดินตรงเข้าไปหาสไนเปอร์ที่กำหมัดแน่น ไอ้เด็กบ้านี่มันกล้ามากที่บุกเข้าบ้านเขาแบบนี้ แล้วยังมาส่งสายตาเจ้าชู้ ใส่ลูกสาวต่อหน้าพ่อเขาอีก

“เรียกพี่ไม่ได้สิต้องเรียกพ่อ ลูกสาวพี่ผมขอนะ” เสียงกระซิบสุดยียวนทำเอาสไนเปอร์ถึงกับเลือดขึ้นหน้า

“จำอาได้มั้ยสาวน้อย” แต่เขากลับไม่สนใจเดินตรงเข้าไปหาเด็กสาว ที่ยังคงร้องไห้กอดแม่ไม่ยอมปล่อย

“แม่จ๋าหนูกลัว ฮื่อ…” ภูพิงค์ร้องไห้เสียงดังลั่นเมื่อคนบ้ายื่นหน้าเข้าใกล้เธอ

“หยุดแกล้งหลานได้แล้ว” นับดาวเค้นเสียงดุ แล้วถึงกับต้องถอนหายใจ

“หลานที่ไหน ก็บอกอยู่ว่าจะขอมาเป็นเมีย” เขาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เด็กสาว ที่เอาแต่กอดแม่แน่น

“แม่จ๋าหนูกลัว คนบ้า!!” ยิ่งหน้าหล่อ ๆ ยื่นเข้ามาใกล้เด็กสาวก็ยิ่งตื่นกลัว

"ไรเฟิล อย่าแกล้งหลาน แล้วมาแบบนี้ม๊ารู้มั้ย” นับดาวพูดอย่างเหนื่อยใจ

“ออกไปไกล ๆ ให้ห่างจากลูกกู” สไนเปอร์ที่กระชากคอเสื้อน้องชายบุญธรรมเมื่อครั้งที่พาแม่ไปรักษาตัวที่อเมริกา นี่คงพึ่งจะกลับมา

“ไม่รู้ จะมาเซอร์ไพรส์ม๊า แต่อยากเจอหน้าว่าที่เมียในอนาคตเลยมาหาพี่ก่อน” ปากพูดกับพี่ชาย แต่ตากลับเอาแต่จ้องเด็กสาวที่มีศักดิ์เป็นหลานไม่วางตา

“มึงอยากโดนกูกระทืบตายใช่มั้ย?” สไนเปอร์ทำหน้าจริงจัง

“พูดจริงไม่ได้พูดเล่นครับคุณพ่อตา”

“ขอตัวนะ ผมง่วง ไว้อามาหาใหม่นะ คนสวย” ไรเฟิลแกะมือพี่ชายออก ทำหน้ากวน ๆ ส่งสายตาให้เด็กสาวก่อนจะเดินยิ้มออกจากบ้าน ยั่วอารมณ์โมโหพี่ชาย

“ใจเย็น ๆ ค่ะ ภูผาพาน้องขึ้นห้องไปก่อน ส่วนเราขุนศึก เรามีเรื่องต้องคุยกัน” นับดาวหันไปสั่งลูก ๆ

“ไปภูพิงค์ไม่มีอะไรแล้ว” ภูผาเดินเข้าไปจูงมือน้องขึ้นไปบนห้อง

“ขุนศึก!” นับดาวเค้นเสียงดุเมื่อคนกะล่อนตีเนียนจะเดินตามพี่ ๆ ขึ้นห้อง

“ครับแม่” เด็กชายตอบกลับเสียงอ่อนเสียงหวาน เพราะรู้ว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร

“ไปรอแม่ที่ห้องทำงาน”

“ครับ”

“ศึกรักแม่นะครับ แม่จ๋าของขุนศึก” ทำผิดไว้ก็มาทำอ้อนเอาใจนึกว่าจะรอดรึไง เมื่อเห็นสายตาดุ ๆ ของแม่ คนกะล่อนก็ทำหน้าจ๋อยเดินไปที่ห้องทำงานอย่างว่าง่าย

“พี่เปอร์” นับดาวเดินเข้าไปหาพ่อของลูก ที่ยืนกำหมัดแน่นจนตัวสั่น

“ใจเย็น ๆ น้องแค่เล่น ๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”

“ไปจัดการเรื่องลูกชายพี่ก่อน มีเรื่องให้ปวดหัวได้ทุกวัน” นับดาวพูดปลอบสามีที่อารมณ์กำลังเดือด

“เห้อ…เหนื่อย” สไนเปอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เอียงหน้าซบอกเมียรัก เพราะรู้จักนิสัยน้องชายดีพอสมควร ถึงจะไม่ได้โตมาด้วยกันแต่ระยะเวลาสองปี ช่วงที่เขาช่วยดูแลรักษาแม่มันก็ทำให้รู้มากจักกันมากพอ เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถือว่าเป็นคนดี ถ้าไม่ติดปากเสียกวนตีนแต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ตัวเองนี่แหละที่หวงลูกสาว และจะไม่ยอมให้มันเกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด

ส่วนเรื่องลูกชายคนเล็กที่ชอบไปลวนลามสาว ๆ มันก็แค่เด็กวัยรุ่นที่กำลังซน แค่บอกแค่เตือนก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว...

บทก่อนหน้า
บทถัดไป