บทที่ 14 บทที่ 4 เรื่องที่พูดไม่ได้ - 25%
ชินดนัยลอบมองไปทางจันทร์เจ้า เห็นหญิงสาวกำลังปิดสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่มองหน้าเขาแม้แต่หางตาก็ได้แต่ลอบถอนหายใจด้วยความเสียดายและกลัดกลุ้ม อุตส่าห์ได้โอกาสคุยกับเธอดี ๆ แล้วแต่ก็มีเหตุให้ต้องล้มเหลวอีกจนได้
"คุณผู้หญิงจะรับกาแฟไหมคะ" จันทร์เจ้าถามหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างนอบน้อม
"ไม่ดีกว่าค่ะ ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ ขอบคุณนะคะ" รมิดายิ้มกว้างพลางเอนหลังพิงพนักโซฟา
"รอสักครู่นะคะ" จันทร์เจ้ายิ้มตอบแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเอมิกา เมื่อประตูห้องปิดลงแล้ว ชินดนัยก็หันไปหาคนที่นั่งข้างกายทันที
"คุณกำลังทำให้ลูกน้องของผมแตกตื่นนะดาด้า"
"แหม...ไม่เห็นเป็นอะไรเลยค่ะ ว่าแต่ผู้หญิงที่นั่งกับคุณเมื่อกี้คือใครคะ"
"คุณจันทร์เจ้า เลขาฯ ใหม่ของผมเองแหละ มาแทนคุณพรีมน่ะ"
เขาตอบเสร็จก็ถอนหายใจแผ่วอีกครั้ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าจันทร์เจ้าจะคิดเลยเถิดไปไหนต่อไหนแล้ว
รมิดาพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ "อืม คนนี้ดูนิ่งดีนะ ท่าทางเป็นมืออาชีพแล้วก็ดูมีรสนิยมดีด้วย"
ชินดนัยยิ้มเมื่อได้ยินรมิดาเอ่ยชมจันทร์เจ้า เพราะกับพรีมหรือพริมา เลขานุการคนเก่าของเขานั้น ทันทีที่เจอหน้ากันครั้งแรก คนที่รสนิยมสูงลิบอย่างรมิดาเห็นแล้วไม่ชอบหน้าเอาเสียเลย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทั้งสองคนจึงหยุดคุยกัน เป็นจันทร์เจ้าที่เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำเปล่าสองแก้ววางไว้ให้บนโต๊ะ
"ขอบคุณค่ะคุณจันทร์เจ้า" รมิดายิ้มให้อย่างเป็นมิตร
"ยินดีค่ะ" จันทร์เจ้าค้อมศีรษะและยิ้มให้เช่นกัน จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินออกไปจากห้องพร้อมกับปิดประตูไว้ให้ตามเดิม
หลังจากที่ได้อยู่ตามลำพังกันอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เข้าเรื่องสำคัญทันทีเพราะรู้ดีว่าการที่รมิดามาหาเขาถึงที่ทำงานวันนี้เพราะเรื่องอะไร
"ตกลงว่าไง ได้เรื่องอะไรบ้างไหม" เขายกกาแฟขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก จากนั้นก็ตามด้วยน้ำเปล่า ส่วนคนถูกถามนั้นหลังจากที่ดื่มน้ำลงคอแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองหน้าเขาแล้วพูดว่า
"คุณรู้ไหมว่าเธอไม่ได้กินยามาเกือบสองอาทิตย์แล้ว"
ได้ยินอย่างนั้นชินดนัยก็เอนหลังพิงโซฟาราวกับคนหมดแรง เขายกมือขึ้นนวดขมับ สีหน้าแววตาบอกถึงความกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด
"แต่ผมเห็นแผงยามันก็พร่องลงไปนะ เพราะทุกคืนถ้าไม่ได้กลับดึกผมจะเข้าไปหาเขาในห้องก่อน ทุกครั้งที่ถามว่ากินยารึยัง เขาก็ตอบว่ากินแล้วผมก็เลยไม่ได้เอะใจอะไร"
"เธอแกะยาไปจากแผงจริง แต่ไม่ได้กิน เธอแกะไปทิ้ง" รมิดาบอกไปตามตรง
"ผมก็ว่าอยู่แล้วเชียวว่าทำไมกินยาแล้วถึงอาการไม่ดีขึ้นเลย ผมถึงได้โทร. บอกให้คุณเข้าไปคุยกับน้องผมหน่อย" ชายหนุ่มก้มมองมือตัวเองที่ถูกันไปมาก่อนพูดต่อ
"ทำไมยายนุชถึงไม่ยอมกินยา ทำไมเขาถึงไม่อยากรักษาอาการของตัวเอง"
"เท่าที่ไปคุยมาฉันคิดว่าน้องสาวคุณรู้สึกสิ้นหวัง เธอบอกว่าเหนื่อยกับการใช้ชีวิต เบื่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว เธอหมดแรงใจในการอยู่ต่อ ฉันเลยต้องพยายามใช้ความรักของคนในครอบครัวมาคุยกับเธอ"
"ทุกคนในบ้านรักยายนุชกันทั้งนั้น เป็นห่วงจนแทบไม่อยากให้คลาดสายตาเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรโง่ ๆ แบบคราวนั้นอีก" ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม เขาส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนพูดต่อ
"บางทีผมก็ทำตัวไม่ถูกนะ ผมไม่รู้ว่าจะดูแลเขายังไงให้เขากลับมาเป็นปกติ เวลาจะพูดหรือเล่าเรื่องอะไรให้ฟังแต่ละครั้งก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าควรพูดรึเปล่า เล่าไปแล้วอาการของเขาจะ...เขาเรียกว่าอะไรนะเวลาอาการกำเริบน่ะ" เขาหันไปถามรมิดา หญิงสาวจึงตอบให้
"ดิ่ง"
"ใช่ นั่นแหละ ผมกลัวว่าเวลาพูดอะไรให้เขาฟังแล้วเขาจะยิ่งดิ่งลงไปมากกว่าเดิมไหม เฮ้อ...บอกตามตรงนะว่าผมรู้สึกเหมือนเข้าไม่ถึงตัวเขา ผมเป็นพี่ชายเขาแท้ ๆ แต่เขากลับไม่ค่อยยอมเล่าหรือระบายปัญหาอะไรให้ผมฟังบ้างเลย"
"นั่นเพราะว่าคุณยังทำให้เขารู้สึกไว้วางใจไม่มากพอ คุณชินคะ การรับมือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าน่ะ สิ่งแรกที่คุณกับสมาชิกในบ้านจะต้องมีคือความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้นะ น้องสาวคุณเป็นคนป่วยที่ต้องได้รับการรักษา ฉันขอถามคุณหน่อยว่ามีใครในบ้านที่คิดว่าคนป่วยโรคซึมเศร้าเป็นคนบ้าหรือโรคจิตรึเปล่า ใครในที่นี้ฉันหมายถึงเพื่อนบ้านหรือญาติ ๆ ด้วยนะ"
พอได้ยินคำถามนั้นจากรมิดา ชินดนัยก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วหันไปถามอีกฝ่ายทันที
"คุณหมายความว่ามีคนไปพูดให้ยายนุชได้ยินหรือว่าน้องสาวผมเป็นบ้า"
"ฉันก็ไม่แน่ใจนักค่ะเพราะเธอไม่ได้บอก เป็นแค่การคาดเดาของฉันเท่านั้น การที่น้องสาวคุณไม่ยอมกินยาต้านเศร้า สาเหตุส่วนใหญ่ฉันคิดว่ามาจากความสิ้นหวังและหมดศรัทธาในตัวเอง ยิ่งถ้าไปได้ยินหรือได้ฟังอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองในแง่ลบมา ความรู้สึกก็จะยิ่งดิ่งลงไป เธอจะคิดว่าตัวเองไม่มีทางหาย เธอเป็นภาระให้คนอื่นต้องมาคอยดูแล และเมื่อไรที่ความคิดในแง่ลบสุมเข้ามาในหัวมากเข้า ก็มีโอกาสมากทีเดียวที่เธอจะหาทางฆ่าตัวตายอีกครั้ง"
"ผมต้องทำยังไงยายนุชถึงจะยอมเปิดใจเล่าทุกอย่างให้ฟังเหมือนที่เขาคุยกับคุณบ้างน่ะดาด้า บอกผมทีเถอะ"
รมิดามองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจพลางเอื้อมมือไปตบบ่าเขาเบา ๆ
"อย่างที่บอกไปค่ะ คุณต้องเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่ บางทีการเป็นผู้ฟังที่ดีก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างหนึ่ง คุณต้องอย่าพยายามไปสั่งสอนให้เธอคิดถึงคนนั้นคนนี้ อย่าเอาเรื่องบุญบาปอะไรพวกนั้นมาพูดกับเธอ คนป่วยโรคซึมเศร้าน่ะความคิดเขาเลยจุดที่เรียกว่าบาปบุญคุณโทษไปแล้ว อย่าบังคับขู่เข็ญให้เธอกินยา แต่ให้ใช้วิธีตะล่อมอย่างนุ่มนวล"
หญิงสาวหยุดพูดเพื่อยกแก้วน้ำขึ้นดื่มดับกระหายก่อนพูดต่อ
"การที่เธอยอมพูดกับฉันมากกว่าคุณซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าฉันเป็นจิตแพทย์ ฉันคือคนอื่น ไม่ใช่คนในครอบครัว เธอถึงได้กล้าพูดกล้าระบายเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง และที่สำคัญเลยก็คืออาจเพราะฉันกับน้องสาวคุณเป็นผู้หญิงเหมือนกัน เวลาคุยก็เลยง่ายกว่าคุยกับคุณซึ่งเป็นผู้ชายน่ะ"
"คุณแม่ก็พยายามคุยกับเขานะ พยายามชวนทำกิจกรรมนั่นนี่ แต่เขาก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ผมชวนออกไปเที่ยวไหนก็ไม่ยอมไป เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านท่าเดียว"
"เป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นโรคนี้ที่จะไม่อยากออกไปพบเจอผู้คน ส่วนใหญ่มักอยากจะนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน นอนหลับไม่ต้องตื่นมาอีกเลยยิ่งดี นั่นคือสิ่งที่วิ่งอยู่ในหัว ลองเปลี่ยนจากการชวนเป็นการขอร้องดู อย่างเช่นว่าคุณไม่มีสาวให้ควงไปดูหนังเลย พี่ขอควงนุชแทนได้ไหม อะไรแบบนี้น่ะ" รมิดายักไหล่พลางยิ้มอย่างขี้เล่น
"อ้อ จริงสิ สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือคนในบ้านต้องทำตัวให้เป็นปกติที่สุด คุยเล่นไปกับเธอแต่ห้ามมองเธออย่างสงสาร สมเพช หรือเวทนา เรื่องนี้สำคัญนะคุณชิน ถามไถ่ทุกข์สุขกันธรรมดาได้ อย่าเพิกเฉยทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน แต่ก็อย่าปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นคนป่วยติดเตียงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะมันจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาด"
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ารับรู้ช้า ๆ
"มีโอกาสจะพัฒนาไปเป็นไบโพลาร์ไหม"
