บทที่ 15 บทที่ 4 เรื่องที่พูดไม่ได้ - 50%

"ฉันก็ตอบไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับตัวน้องสาวคุณด้วย ตอนนี้อยากให้เธอกินยาตามหมอสั่งมากกว่า น้องคุณต้องรักษาด้วยยาควบคู่ไปกับการเยียวยาทางจิตใจ ทำให้เธอเห็นว่าคุณจะอยู่ข้างเธอเสมอ"

ชินดนัยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ "เข้าใจแล้ว จะว่าไปผมกับยายนุชก็เริ่มห่างกันตั้งแต่ผมไปเรียนเมืองนอกนั่นแหละ ผมใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกนานหลายปีเกินไป กลับมาอีกทีผมก็รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป ตอนแรกนึกว่าน้องสาวก็แค่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่มันไม่ใช่ เขากลายเป็นคนเก็บตัว มีโลกส่วนตัวสูง ผมพยายามจะคุยด้วยหลายครั้งแต่มันก็ไม่เหมือนเดิม กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ตอนที่เขากินยานอนหลับเกินขนาดเพื่อจะฆ่าตัวตายนั่นแหละ นี่ก็ผ่านมาเป็นปีแล้วผมก็ยังไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ยายนุชต้องเป็นโรคซึมเศร้า"

"คุณต้องรอให้เธอพร้อมที่จะเล่าจริง ๆ อย่าไปคาดคั้นเธอล่ะ" รมิดาเตือนเขาอีกครั้ง

"ผมรู้" ชายหนุ่มรับคำพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ขณะที่หญิงสาวดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือก่อนจะลุกขึ้นยืน

"ฉันคงต้องไปแล้วค่ะ บ่ายนี้ต้องไปส่งเจสันที่สนามบิน"

ชินดนัยลุกขึ้นยืนบ้าง "งั้นผมไปส่งที่รถ ขอบคุณมากนะดาด้าที่ช่วยเหลือ ฝากสวัสดีเจสันด้วย"

ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูแล้วผายมือให้รมิดาเดินออกไปก่อน จากนั้นเขาก็เดินตามไปทีหลัง รมิดายิ้มทักทายบรรดาเลขานุการที่นั่งอยู่ทุกคนอย่างเป็นมิตร ส่วนชินดนัยลอบมองไปทางจันทร์เจ้า แต่เธอไม่มองเขาแม้แต่หางตาเช่นเคย

ระหว่างที่จันทร์เจ้ากำลังเขียนอีเมลส่งถึงแผนกการตลาด และฝ่ายที่เกี่ยวข้องตามที่ได้รับมอบหมายงานจากชินดนัย พนักงานธุรการที่อยู่ชั้นล่างก็นำจดหมายและเอกสารต่าง ๆ ขึ้นมาส่งให้เลขานุการของผู้บริหารแต่ละแผนก หญิงสาวรับไว้แล้วตรวจเอกสารแต่ละแผ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นสรุปรายงานการขายของแต่ละสาขาจึงนำใส่แฟ้มเอาไว้ จากนั้นก็ดูจดหมายที่มัดรวมเป็นปึกมา ซึ่งมีทั้งใบแจ้งยอดบัตรเครดิต จดหมายข่าวของห้างร้านต่าง ๆ เธอดูแล้วก็เกิดความไม่มั่นใจว่าฉบับไหนควรเก็บ และฉบับไหนควรคัดทิ้ง เพราะเรื่องแบบนี้ต้องถามจากผู้เป็นนายโดยตรง

แต่ปัญหาของเธอคือยังไม่อยากเข้าไปเจอหน้าเขาตอนนี้

หญิงสาวลอบถอนหายใจแผ่วพลางหลุบตาลงมองจดหมายปึกนั้นอีกครั้ง คิดในใจว่าถ้าไม่เข้าไปตอนนี้งานของเธอคงไม่เดิน และหน้าที่นี้ก็เป็นงานของตนโดยตรง ไม่ว่าจะหลีกเลี่ยงอย่างไรสุดท้ายก็ต้องทำมันอยู่ดี อย่างไรเสียเธอก็ต้องเจอหน้าเขาทุกวันทำงานอยู่แล้วเพราะผู้ชายคนนั้นคือเจ้านายของเธอ

คิดได้ดังนั้นจันทร์เจ้าจึงลุกขึ้นแล้วหอบแฟ้มกับจดหมายเดินไปเคาะประตูห้องทำงานของท่านประธาน รอจนกระทั่งได้ยินเสียงอนุญาตจากด้านในจึงเปิดเข้าไป

"ขออนุญาตค่ะ" หลังจากปิดประตูแล้วหญิงสาวก็เดินไปหน้าโต๊ะทำงานของเขาแล้ววางแฟ้มตรงพื้นที่ว่าง

"ในแฟ้มเป็นรายงานสรุปยอดขายจากสาขาต่าง ๆ ตามที่ท่านประธานขอดูเมื่อวานค่ะ แล้วก็พวกนี้เป็นจดหมาย เอ่อ...คือฉันไม่รู้ว่าท่านประธานจะให้เก็บอันไหนไว้บ้างน่ะค่ะ"

เธอตัดสินใจถามไปตามตรง เพราะตอนอยู่ที่ทำงานเก่า เจ้านายให้เธอจัดการเอกสารทุกอย่างให้แม้แต่การจ่ายค่าน้ำค่าไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งค่าส่วนกลางของคอนโดมิเนียมที่อาศัยอยู่ ส่วนจดหมายที่เกี่ยวกับโปรโมชั่นจากสินค้าแฟชั่น หรือห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ รวมไปถึงจดหมายการขอบริจาคเงินขององค์กรการกุศลให้คัดทิ้งทั้งหมด

ชินดนัยเลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบจดหมายปึกนั้นขึ้นมาดู ทุกฉบับยังไม่มีการเปิดซองแม้แต่โบรชัวร์รถยุโรปรุ่นล่าสุดที่ทางโชว์รูมส่งมาก็ยังถูกปิดผนึกไว้ตามเดิม

เขาคลี่ยิ้มกว้าง จันทร์เจ้าก็ยังคงเป็นจันทร์เจ้า เธอเป็นคนที่เคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่นไม่เปลี่ยน หากเป็นพริมา เลขาฯ คนเก่าของเขา ป่านนี้พวกโบรชัวร์ หรือจดหมายจากห้างร้านต่าง ๆ คงไปอยู่ในถังขยะแล้วเรียบร้อย ซึ่งหลายครั้งก็ทำให้เขาพลาดจดหมายเชิญไปร่วมงานเปิดตัวสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ ที่บรรดาลูกค้าเชิญให้ไปร่วมงานอย่างน่าเสียดาย และที่สำคัญคือเขาจะไม่ว่าอะไรเลยหากเจ้าหล่อนยังไม่ได้แกะอ่าน แต่ทุกฉบับพริมาล้วนแกะอ่านหมดแล้วก่อนที่จะนำไปทิ้ง

"พี่ว่าเราไปนั่งคุยกันที่เดิมตรงนั้นดีกว่า เพราะคงต้องคุยกันยาว" เขาเห็นเธอขมวดคิ้วเล็กน้อยจึงรีบพูดดักคอไว้

"มันต้องอธิบายกันยาวหน่อยน่ะว่าอันไหนเก็บได้ และอันไหนเอาทิ้งได้เลย" พูดจบเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินถือจดหมายปึกนั้นไปนั่งที่โซฟาตัวเดิมกับที่นั่งเมื่อช่วงเช้าทันที โดยมีหญิงสาวเดินตามไป

จันทร์เจ้านั่งที่โซฟาตัวเดิมเช่นกัน ชายหนุ่มจึงเขยิบเข้าไปใกล้เธออีกเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่งแล้วแกะซองนำเอกสารด้านในออกมา

"ซองนี้เป็นใบแจ้งยอดบัตรเครดิต อันนี้เก็บไว้" เขาพูดไปยิ้มไปพลางวางจดหมายฉบับนั้นไว้อีกทางหนึ่ง จากนั้นก็หยิบอีกฉบับขึ้นมาแล้วทำเหมือนเดิม

"ซองนี้เป็นใบรายงานหุ้น อันนี้เก็บไว้" เขาวางมันไว้กองเดียวกับใบแจ้งยอดบัตรเครดิต จากนั้นก็หยิบโบรชัวร์โฆษณาคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ขึ้นมาพลิกดูทีละหน้าอย่างใจเย็น

"อืม คอนโดฯ นี้น่าสนใจเนอะ ติดรถไฟฟ้าด้วย ห้องก็กว้างดีตั้งแปดสิบตารางเมตร มีสองห้องนอนสองห้องน้ำ มีระเบียงออกไปชมวิวด้านนอกได้ด้วย"

เขาทำทีเป็นไม่สนใจกับคิ้วเรียวที่เริ่มขมวดมุ่นอย่างลืมตัวของหญิงสาวตรงหน้า การที่เขาจงใจถ่วงเวลาหยิบจดหมายขึ้นมาเปิดดูทีละฉบับแล้วอ่านอย่างอ้อยอิ่ง ก็เพราะอยากหาเวลาคุยเล่นกับเธอสักหน่อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขาอยากยั่วโมโหคนที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็งอย่างจันทร์เจ้าให้กลายเป็นน้ำเดือดปุด ๆ มากกว่า เพราะเมื่อเช้าที่เขาแกล้งหยิบแก้วกาแฟผิดจนทำให้เธอหน้างอได้ทำให้เขารู้สึกว่าสนุกดี เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าเธอยังมีอารมณ์แบบอื่นให้เขามากกว่าความเย็นชา แม้ว่าอารมณ์นั้นจะเป็นความโมโหก็ตาม

"อ้าว ทำไมมองพี่อย่างนั้นล่ะหนูจันทร์ พี่ก็กำลังอธิบายอยู่นี่ไง"

เขาเกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าปากอิ่มระเรื่อของหญิงสาวเริ่มโค้งลง และหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม ป่านนี้ในหัวของเธอคงจินตนาการว่ากำลังทุบเขาเพื่อระบายอารมณ์เป็นแน่

ใจจริงเขาอยากอธิบายเรื่องรมิดาให้จันทร์เจ้าเข้าใจว่าไม่ใช่อย่างที่เธอคิด แต่เขาก็พูดออกไปไม่ได้ เพราะหากอธิบายไปก็คงไม่พ้นต้องเปิดเผยเรื่องอาการป่วยของชญานุชน้องสาวของเขา เนื่องจากเรื่องนี้ยังไม่มีคนรู้มากนักนอกจากคนสนิทและคนในครอบครัว อีกทั้งเขาไม่รู้ว่าคนนอกจะคิดอย่างไรกับคนป่วยโรคซึมเศร้า เพราะแม้แต่ตัวน้องสาวของเขาเองยังไม่ยอมรับเลยว่าตนเป็นโรคนี้ จึงต้องปิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

"ถ้าเป็นไปได้ ท่านประธานจะกรุณาบอกมาเลยได้ไหมคะว่าจดหมายแบบไหนที่จะให้ทิ้งได้เลย ขออนุญาตนะคะ"

หญิงสาวถือวิสาสะหยิบจดหมายในกองนั้นขึ้นมาถือไว้ทั้งหมดจากนั้นก็จัดการคัดแยกด้วยตัวเอง

"สามฉบับนี้จากธนาคารก็เก็บเอาไว้ก่อน อันนี้เป็นแผ่นพับโฆษณาจากโชว์รูมรถ ท่านประธานคงไม่เก็บไว้ใช่ไหมคะ อันนี้ก็เหมือนกัน มาจากฟิตเนส สปอร์ตคลับ เป็นการแจ้งคลาสใหม่ประจำเดือน ท่านประธานคงไม่สนใจ แต่ฉบับนี้จากคลับฮาร์ดเพลย์บอยที่แจ้งอีเวนต์เด็ด ๆ ประจำเดือนสำหรับวีไอพีเมมเบอร์ อุ๊ย! มีบัตรสมาชิกแนบมาด้วย ฉันคิดว่าฉบับนี้ท่านประธานคงต้องการเก็บไว้เพราะคงไม่อยากพลาดรายการเด็ด ๆ จากทางคลับ ฉันเข้าใจถูกแล้วใช่ไหมคะ"

บทก่อนหน้า
บทถัดไป