บทที่ 17 บทที่ 4 เรื่องที่พูดไม่ได้ - 100%
"ไม่ได้เจอมาสองสามเดือนแล้วละ เห็นบอกว่าจะไปทำงานเมืองนอกนี่นา แกถามทำไมหรือ"
ไปรมาเบ้ปากพลางคว้าหลอดมาดูดน้ำให้ลื่นคอก่อนพูดว่า
"บอกตามตรงเลยนะว่าฉันไม่เชื่อว่ะ ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่ายายวีวี่มันเป็นคนยังไง แกเชื่อนางไหม ฉันถามตรง ๆ"
จันทร์เจ้ายิ้มเจื่อนไม่ตอบคำถาม แต่การแสดงออกอย่างนั้นของเธอก็ทำให้อีกฝ่ายรู้ทันทีว่าคิดไม่ต่างกัน ไปรมาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่ม
"ฉันไม่เข้าใจว่ะว่านางจะโกหกเพื่ออะไรวะ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนะไอ้เรื่องมโนคิดเป็นตุเป็นตะเนี่ย พวกเราจับได้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนก็ยังไม่เข็ด จะเลิกคบก็กระไรอยู่ อุตส่าห์รู้จักกันมาตั้งหลายปี เพราะเรื่องอื่นนางก็ดีเสียแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวนี่แหละ"
"ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะจะว่าไปแล้วนางก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน" จันทร์เจ้าถอนหายใจแผ่ว
"แต่ถ้ามันยังเป็นอย่างนี้ต่อไป สักวันมันต้องโดนคนอื่นเขาแหกอกแน่ ๆ และเมื่อถึงเวลานั้นมันจะถูกเขาหาว่าเป็นพวกต้มตุ๋นน่ะสิแก" ไปรมาหยุดพูดแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้จันทร์เจ้า จากนั้นก็ลดเสียงลงให้ได้ยินกันแค่สองคน
"ถ้ามันรู้ว่าแกไปทำงานเป็นเลขาฯ ให้แฟนเก่าอย่างอีตาพี่ชินละก็ รับรองเลยว่ามันมาหาแกถึงที่ทำงานทุกวันแน่นอน"
จันทร์เจ้าเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น หญิงสาวครุ่นคิดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายพูดแล้วก็อดแย้งไม่ได้
"แกคิดว่าวีวี่ยังชอบพี่...เอ่อ...เขาอยู่หรือ ฉันว่านางอาจจะเลิกคิดไปแล้วก็ได้นะ"
ไปรมาแค่นยิ้มมุมปาก "พนันกันไหมล่ะ ตอนนี้ยายวีวี่มันอาจจะเลิกคิดเพราะมันไม่มีทางจะติดต่อกับพี่ชินได้ แต่ถ้ามันรู้ว่าแกไปทำงานกับเขาเมื่อไร เมื่อนั้นแกจะได้เห็นหน้ายายวีวี่ทุกวันแน่นอนเพราะมันจะต้องหาทางเข้าใกล้อีตาแฟนเก่าจอมเจ้าชู้ของแกแล้วเสนอตัวเองแบบยอมถวายหัว"
ไปรมาหยิบน้ำมาดื่มกลั้วคอเพราะหลังจากพูดจบก็ไอคอกแคกเนื่องจากเจ็บคออยู่ก่อนแล้ว
"แต่ตอนนี้วีวี่ก็มีแฟนแล้วนี่นา แกก็เห็นไม่ใช่หรือ" จันทร์เจ้าพูดไปตามจริงเพราะเคยเห็นวีวี่หรือวรัชยามีหนุ่มหล่อมารับที่ร้านอาหารตอนนัดกินข้าวด้วยกันครั้งล่าสุดเมื่อสามเดือนก่อน
"แฟนมันจริง ๆ รึเปล่าหรอก ไม่ใช่ว่านางไปจ้างผู้ชายตามโฮสต์ที่ไหนมาเป็นแฟนล่ะ" ไปรมาหยุดพูดเพื่อกระแอมให้คอโล่งก่อนพูดต่อ
"ไม่รู้ว่ะจันทร์ บอกตามตรงเลยนะ ฉันรู้สึกว่ายายวีวี่มันพยายามจะแข่งกับแกทุกเรื่องเลยนะ ตอนที่แกยังเป็นคุณหนูบ้านรวย และบ้านแกยังไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น วีวี่มันก็พยายามจะยกตัวเองให้เหนือกว่าแกทุกด้านไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับที่ใส่ หรือผู้ชายที่กำลังคบอยู่ ตอนแกคบกับพี่ชิน มันก็มาบอกฉันว่ามันแอบรักพี่เขามาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว แต่เห็นว่าแกเป็นเพื่อนรักก็เลยยอมถอยให้ แล้วมันก็ไปคว้าเอาหนุ่มวิศวะมาเป็นแฟน ทำสวีตหวานโชว์ชาวบ้านแบบไม่แคร์สื่อ แต่พอรู้ว่าแกเลิกกับพี่ชิน มันก็วิ่งโร่ไปตามตื๊อเขา เรื่องนี้แกก็รู้ไม่ใช่หรือ"
จันทร์เจ้าขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด จะว่าไปแล้วระยะเวลาเจ็ดปีนั้นจะถือว่านานก็นาน แต่ก็เหมือนแค่กะพริบตาไม่กี่ครั้งก็ผ่านไปแล้วเจ็ดปี ในเจ็ดปีนี้การเลิกรักใครสักคนถือเป็นเรื่องง่ายหรือยากเธอเองก็ยังให้คำตอบไม่ได้เลย
"ยายวีวี่น่ะมันอยากได้อยากมี อะไรที่ทำแล้วยกระดับตัวเองได้มันก็ทำทั้งนั้นแหละ ฉันว่าที่มันชอบพี่ชินก็เพราะตอนนั้นพี่เขาฮอตปรอทแตก ทั้งหล่อทั้งรวย ใครได้เดินควงก็หน้าเชิดอกตั้งแล้ว พอเขามาจีบแก เทียวไล้เทียวขื่อเช้าถึงเย็นถึง แถมยังเปย์ไม่อั้น ยายวีวี่มันก็วอนต์อยากได้เขามาเป็นแฟนบ้างน่ะสิ"
ครั้นพอได้ฟังเพื่อนรักพูดถึงอดีตอันแสนหวานชื่นระหว่างตนกับเจ้านายหนุ่มคนปัจจุบัน จันทร์เจ้าก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปช่วงนั้น ภาพในวันวานหลั่งไหลเข้ามาในหัวไม่ขาดสายราวกับทุกเรื่องเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวาน แม้กระทั่งตอนที่จับได้ว่าชินดนัยไม่ได้คบหากับเธอแค่คนเดียว แต่ความเจ็บปวดจากการถูกนอกใจครั้งนั้นไม่ได้ส่งผลถึงเธอในตอนนี้แล้ว
"แล้วเป็นไงมั่ง ทำงานกับแฟนเก่าน่ะ" ไปรมาถามยิ้ม ๆ สายตาพยายามจับผิดสีหน้าของเพื่อนสนิทแต่ก็ไม่เห็นอะไร
"ก็ไม่ได้เป็นไง ฉันก็ทำงานของฉันไป เขาก็ทำงานของเขา ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย" จันทร์เจ้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่สายตาหลุบต่ำทำทีเป็นมองจานข้าวของตัวเองตรงหน้า
"ไม่กลัวถ่านไฟเก่าจะคุบ้างหรือ" ไปรมาหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด เป็นเพื่อนกันมาเกือบสิบปีจะไม่รู้เลยหรือว่าอาการนิ่งเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อนและการทำหน้าตายแต่ไม่ยอมสบตาด้วยของจันทร์เจ้านั้น แท้จริงแล้วคือการพยายามปิดบังอะไรบางอย่างอยู่
"ไม่มีทาง แกอย่าลืมสิว่าตอนนี้ฉันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ และสถานะระหว่างฉันกับเขาก็ไม่สามารถจะกลับไปเป็นอย่างเดิมได้อีก เขาคือเจ้านาย ฉันคือลูกน้อง เราต่างคนต่างใช้ชีวิตของใครของมันไม่เกี่ยวกันอีกต่อไป"
ไปรมาพยักหน้ารับฟังอย่างขอไปที ทั้งที่ในใจไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรนัก แต่เพราะรู้ว่าคงเป็นเรื่องยากหากต้องการจะง้างปากจันทร์เจ้าให้พูดเรื่องที่ไม่อยากพูด ตนจึงทำได้แค่รอเท่านั้น หากเจ้าตัวพร้อมจะเล่าเมื่อไรก็จะเปิดปากออกมาเอง
ขากลับเข้าออฟฟิศจันทร์เจ้าหิ้วถุงแกงกะหรี่และน้ำอัดลมที่ชินดนัยฝากซื้อติดมือไปด้วย เมื่อถึงห้องทำงาน หญิงสาวก็จัดการนำข้าวใส่จาน และนำน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งจากตู้เย็นในห้องแคนทีนมาใส่แก้วแล้วยกเข้าไปให้ผู้เป็นนายถึงในห้อง
"ขอโทษที่มาช้าค่ะ ร้านนี้รอคิวค่อนข้างนาน" หญิงสาวบอกเขาไปตามตรงเพราะตนเข้างานช่วงบ่ายสายไปร่วมครึ่งชั่วโมง
"ไม่เป็นไร ถ้าเป็นจันทร์นานแค่ไหนพี่ก็รอได้" ชายหนุ่มพูดตอบมาทั้งรอยยิ้ม สายตาอ่อนเชื่อมมองแก้วที่ใส่น้ำอัดลมและน้ำแข็งไว้สลับกับมองหน้าเรียบเฉยของเลขาฯ ส่วนตัว
"ชื่นใจจังที่หนูจันทร์จำได้ด้วยว่าพี่ชอบกินโค้กแบบใส่น้ำแข็ง" เขาเกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่ามือของเธอชะงักไปทันทีที่เขาพูดจบ และเป็นดังคาด หญิงสาวตวัดสายตาฟาดฟันใส่เขาอย่างลืมตัวจนเขาแทบอยากลุกขึ้นปรบมือให้ตัวเองที่ในที่สุดก็ทำให้เจ้าหญิงน้ำแข็งหลุดการควบคุมได้
"ท่านประธานคะ ฉันซื้อโค้กมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างแล้วเดินมาจนถึงออฟฟิศ ต่อให้โค้กมันเย็นเป็นวุ้นยังไง ถ้ามาถึงที่นี่ก็ต้องละลายหมดอยู่ดีค่ะ ในเมื่อท่านประธานบอกไว้ล่วงหน้าว่าอยากได้โค้กเย็นจัด ฉันก็ต้องใส่น้ำแข็งให้สิคะ คงไม่มีใครเอาไปต้มให้หรอก"
"ฮ่า ๆ เยี่ยมมากหนูจันทร์!"
ชินดนัยหัวเราะเสียงดังพร้อมกับปรบมืออย่างชอบใจ จากสาวน้อยใส ๆ กลายเป็นหญิงสาวที่มีเขี้ยวเล็บแหลมคมแบบนี้ช่างถูกใจเขาเหลือเกิน
จันทร์เจ้าหน้าง้ำลงทันทีเมื่อรู้แล้วว่าถูกเขาแหย่เล่น เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ยี่หระ ยิ้มให้เขาบาง ๆ แล้วพูดว่า
"ขอบคุณที่ชมค่ะ แต่สงสัยท่านประธานจะหิวจนหน้ามืดตาลายถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวไปทำงานก่อนดีกว่าค่ะ ค่อย ๆ กินนะคะ ระวังข้าวจะติดคอ"
พูดจบเธอก็เดินเชิดหน้าออกจากห้องไป โดยทิ้งสายตาแพรวพราวและรอยยิ้มกว้างของชายหนุ่มไว้เบื้องหลัง
