บทที่ 2 บทที่ 1 เลขาฯ คนใหม่ - 25%
จันทร์เจ้าแหงนมองอาคารหลังใหญ่ตรงหน้าจากในรถด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของเธอในฐานะเลขานุการของท่านประธานใหญ่บริษัทนำเข้านาฬิกาแบรนด์หรู แม้จะไม่ใช่งานแรกสำหรับการเป็นเลขาฯ แต่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ขนาดนี้
เมื่อคืนหญิงสาวตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว โชคดีที่เธอตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ไว้สามช่วงเวลา มิเช่นนั้นวันนี้คงมาสายตั้งแต่ทำงานวันแรก
หลังจากแลกบัตรแล้วเข้าไปจอดรถในอาคารเสร็จเรียบร้อย จันทร์เจ้าก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นเก้า เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็เห็นชื่อบริษัทเด่นหราอยู่ตรงหน้า หญิงสาวผลักประตูกระจกเดินเข้าไปด้านใน และเพราะยังไม่ถึงเวลาทำงาน คนในออฟฟิศจึงค่อนข้างบางตา เธอเห็นหลายคนมองมาด้วยความสงสัย จึงแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อจันทร์เจ้า ทำตำแหน่งเลขาฯ ท่านประธาน วันนี้มาเริ่มงานวันแรกค่ะ” แนะนำตัวเองเสร็จก็เห็นหลายคนมีสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งยิ้มให้แล้วชี้ขึ้นไปด้านบน
“ห้องท่านประธานอยู่ชั้นสิบครับ ยินดีที่ได้รู้จักและได้ร่วมงานกันนะครับคุณจันทร์เจ้า”
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอค้อมศีรษะขอบคุณเขา ก่อนจะเดินเข้าไปทางโถงลิฟต์ที่อยู่มุมสุด
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า หญิงสาวรู้สึกว่าสายตาทุกคู่ยังมองตามหลังมาอยู่อย่างไม่ลดละราวกับเธอคือตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์ จันทร์เจ้ารีบสำรวจตัวเองอย่างเร่งด่วนทันทีว่าลืมรูดซิป หรือใส่ชุดกลับด้านหรือไม่ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็ยิ่งแปลกใจ อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมทุกคนถึงได้มองอย่างนั้น
จันทร์เจ้าไม่รู้ว่าหลังจากที่ตนเข้าไปในลิฟต์แล้ว เสียงซุบซิบพูดคุยก็ดังขึ้นตามหลังทันที
“คนนี้เองหรือที่ท่านประธานเป็นคนเลือกด้วยตัวเองน่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้นเบา ๆ
“ใช่ เห็นตอนแรกพี่เอมบอกว่าจะให้ฝ่ายบุคคลเป็นคนจัดการหาเลขาฯ คนใหม่ให้ ท่านประธานก็เออออไม่ว่าอะไรเพราะเรื่องเล็กน้อยพวกนี้เขาไม่มาสนใจอยู่แล้ว แต่จู่ ๆ ไม่รู้นึกยังไง ท่านประธานมาเปิดแฟ้มดูเรซูเม่ของคนที่สมัครตำแหน่งเลขาฯ แล้วทีนี้เอกสารของผู้หญิงที่ชื่อจันทร์เจ้าน่ะอยู่บนสุดเลย เขาเปิดอ่านอยู่ครู่หนึ่งก็เจาะจงมาเลยว่าเอาคนนี้”
“หวังว่าคงไม่ใช่แบบเดิมอีกนะ” พนักงานคนหนึ่งยู่หน้าเมื่อนึกถึงเลขานุการคนเก่าของท่านประธาน
“ไม่หรอกมั้ง เขาดูไม่แรงเหมือนยายพรีมเลยนะ ท่าทางเรียบร้อยด้วยซ้ำไป”
“ก็ไม่แน่หรอกของแบบนี้มันต้องดูกันยาว ๆ ถ้ามาแบบยายพรีม ท่านประธานก็คงไล่ออกอีกนั่นแหละ”
“นินทาเจ้านาย เดี๋ยวจะอัดคลิปไปฟ้องให้หักเงินเดือนกันทุกคนเลย” ชายหนุ่มคนที่คุยกับจันทร์เจ้าเมื่อครู่ยื่นหน้าเข้ามากลางวงซุบซิบของสาว ๆ
“ไม่ได้นินทา แค่เล่าสู่กันฟังย่ะ” หนึ่งในสี่สาวค้อนให้เขาอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ส่วนชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มแล้วเดินไปทางห้องแคนทีนเพื่อชงกาแฟดื่มตอนเช้า
เขาอยากบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่แค่ท่านประธานเจาะจงเลือกเลขาฯ ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ตอนที่ท่านอ่านเรซูเม่ของจันทร์เจ้ายังยิ้มตลอดเวลาอีกด้วย
จันทร์เจ้าขึ้นมาถึงชั้นสิบ ชั้นนี้ดูเงียบและคนน้อยกว่าชั้นเก้าพอสมควร ชั้นเก้านั้นมีแต่โต๊ะพนักงานกับพาร์ทิชันที่กั้นแบ่งเป็นโต๊ะของใครของมัน แต่ชั้นสิบนี้มีแต่ห้องทำงานเรียงรายกันไป เธอเดาว่าคงเป็นห้องสำหรับผู้บริหารแผนกต่าง ๆ ส่วนโต๊ะทำงานสำหรับพนักงานที่อยู่อีกฝั่งนั้นมีไม่ถึงสิบโต๊ะ และมีคนนั่งอยู่สามคนเท่านั้น
หนึ่งในสามคนนั้นมองมาที่จันทร์เจ้าอย่างสงสัยใคร่รู้ เจ้าตัวทำท่าจะเอ่ยปากถามแต่พนักงานสาวคนหนึ่งก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“น้องมาทำตำแหน่งเลขาฯ ท่านประธานใช่ไหมคะ”
จันทร์เจ้ายิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ “ใช่ค่ะ เมื่อกี้ไปชั้นเก้ามา เขาบอกว่าห้องท่านประธานอยู่ชั้นนี้”
“ใช่แล้วจ้ะ โต๊ะเราอยู่ตรงนี้ น้องชื่ออะไรนะ น่าจะเป็นน้องพวกพี่เนอะเพราะดูหน้ายังอ่อน ๆ อยู่เลย พี่ชื่อเอมนะ เอมิกา เป็นเลขาฯ ของคุณวไลพร ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ส่วนพี่คนนี้ชื่อพี่วรรณ กชวรรณ เป็นเลขาฯ ของคุณกิตติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และพี่คนนี้ชื่อเบล นันทิดา เป็นเลขาฯ ของคุณนิธิ ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ”
เอมิกาแนะนำตัวเองกับผู้มาใหม่ยาวเหยียด จันทร์เจ้าเห็นความเป็นมิตรที่อีกฝ่ายมีให้ก็ยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ทุกคน
"จันทร์เจ้าค่ะ เรียกจันทร์เฉย ๆ ก็ได้ ปีนี้จันทร์ยี่สิบเจ็ดค่ะ เอ่อ...ไม่แน่ใจว่าเป็นน้องหรือว่ารุ่นเดียวกัน"
ประโยคท้ายหญิงสาวพูดอย่างขัดเขินและประหม่า เพราะรู้ดีว่าอายุยี่สิบเจ็ดสำหรับการเป็นเลขานุการของประธานบริษัทนั้นถือว่ายังน้อยเกินไป
"ต๊าย ปากหวาน จะบอกว่าพวกเราหน้าอ่อนจนไม่เหมือนสามสิบกว่าใช่ไหมล่ะ" วรรณ หรือกชวรรณเอามือกุมแก้มตัวเองแล้วยิ้มอย่างมีจริต ขณะที่จันทร์เจ้าได้แต่ยิ้มเพราะปกติแล้วก็เป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไรนัก
"วันนี้เริ่มงานวันแรก พวกพี่ได้รับมอบหมายจากท่านประธานให้สอนงานคร่าว ๆ กับจันทร์ไปก่อนเพราะท่านไม่อยู่น่ะ ไปต่างประเทศ จะกลับอีกทีก็ประมาณวันศุกร์ ถ้าจันทร์ติดขัดตรงไหน หรือสงสัยอะไรก็ถามพวกพี่ได้เลยนะ เพราะบนนี้เราก็นั่งกันอยู่แค่นี้แหละ ไม่ได้คึกคักเหมือนข้างล่าง" เบล หรือนันทิดาบอกน้องใหม่อย่างอารมณ์ดี
จันทร์เจ้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ลองถามสิ่งที่ตนสงสัยออกไป
"คือว่า จันทร์มีเรื่องสงสัยค่ะว่าทำไมจันทร์ถึงได้มาทำงานที่นี่ทั้งที่ยังไม่ได้สัมภาษณ์เลย"
จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างแปลกไปสักหน่อยที่ตนได้เข้ามาเป็นเลขานุการของประธานบริษัทนำเข้านาฬิกาแบรนด์หรูจากสวิตเซอร์แลนด์ ตอนที่หางานใหม่จากเว็บหางานในอินเทอร์เน็ต บริษัทนี้เธอไม่คิดจะส่งเรซูเม่มาเลยด้วยซ้ำเพราะรู้ว่าคุณสมบัติคงไม่ดีพอ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจส่งมาโดยไม่ได้คาดหวัง ทว่าหลังจากหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคลของที่นี่ว่าผ่านการคัดเลือกเป็นเลขานุการ ให้มาเริ่มงานเดือนหน้าพร้อมกับนำเอกสารส่วนตัวมาด้วย
เอมิกายิ้มเจื่อน ส่วนอีกสองสาวก็หันมองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไร เอมิกาจึงตอบคำถามของอีกฝ่ายตามที่ท่องมา
"ทางเราพิจารณาจากคุณสมบัติของคนที่มาสมัครเป็นสำคัญน่ะว่าใครเหมาะสม อย่างจันทร์เองก็เคยเป็นเลขาฯ ให้ผู้จัดการมาก่อนตั้งหลายปีใช่ไหม ภาษาอังกฤษก็ใช้ได้เพราะดูจากอีเมลที่ส่งเข้ามาใช้ภาษาได้ดีทีเดียว อายุก็ถือว่ากำลังดีเพราะไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไป ฝ่ายบุคคลก็เลยเลือกจันทร์"
