บทที่ 20 บทที่ 5 พี่ชายที่แสนดี - 75%
“มาแล้วครับผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริงแล้วเดินเข้ามาวางขวดน้ำไว้บนโต๊ะและยื่นแก้วนมให้น้องสาว เธอรับแก้วไปถือไว้ เขาจึงเดินไปที่โต๊ะข้างเตียง เปิดลิ้นชักหยิบยาต้านเศร้าที่ต้องกินก่อนนอนออกมาทั้งแผง จากนั้นก็มานั่งที่เดิม
เขารอจนเธอดื่มนมหมดแก้วจึงแกะยาจากแผงยื่นให้หนึ่งเม็ดพร้อมรอยยิ้ม เธอมองยาเม็ดเล็ก ๆ สีขาวในมือเขาครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกมารับแต่ยังไม่ยอมกิน เขาจึงแกะออกมาอีกเม็ดแล้วพูดว่า
“ถ้านุชไม่อยากกินยาคนเดียวเดี๋ยวพี่กินเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ” พูดจบเขาก็โยนยาเม็ดนั้นเข้าปากแล้วยกน้ำขึ้นดื่มทั้งขวด ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของน้องสาว
“พี่ชิน! กินเข้าไปได้ยังไงคะ” หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ากินยาเหมือนตน
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย พี่ก็แค่อยากกินยาเป็นเพื่อนนุช คราวนี้ถึงตานุชต้องกินยาบ้างแล้วนะคะ” เขายิ้มราวกับการกินยาต้านเศร้าทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ครั้นพอเห็นน้องสาวกินยาแล้วดื่มน้ำตาม ชินดนัยก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางคิดในใจว่าพรุ่งนี้จะโทรศัพท์ไปถามรมิดาเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นโรคนี้
จากนั้นชญานุชก็เดินไปที่เตียงนอนแต่ยังไม่หลับ ชายหนุ่มจึงนั่งอีกฝั่งแล้วคุยเรื่องจิปาถะกับน้องสาวจนกระทั่งเธอหลับไปในที่สุด เขาจึงค่อย ๆ เดินออกมาแล้วกลับห้องของตัวเอง
เช้าวันต่อมา จันทร์เจ้ามาทำงานตามปกติ เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงออฟฟิศก็ต้องแปลกใจเมื่อมีเด็กผู้ชายอายุประมาณหกเจ็ดขวบกำลังนั่งต่อเลโก้อยู่ที่โต๊ะว่างตัวหนึ่ง เธอกำลังจะอ้าปากถามเด็กแต่เอมิกาก็เดินออกมาจากห้องแคนทีนพร้อมกับชามพลาสติกลายการ์ตูนโดราเอมอน
“อ้าวจันทร์ มาถึงแล้วหรือ กินอะไรมารึยัง อ้อใช่ นี่น้องออกัส ลูกชายพี่เองจ้ะ ออกัสครับ สวัสดีน้าจันทร์รึยังลูก”
เอมิกาหันไปบอกบุตรชาย เด็กน้อยจึงวางมือจากตัวต่อแล้วกระพุ่มมือไหว้จันทร์เจ้าอย่างน่ารัก หญิงสาวจึงรับไหว้พร้อมกับกล่าวทักทายทั้งรอยยิ้ม
“สวัสดีครับคนเก่ง” จากนั้นเธอก็หันไปถามเอมิกาด้วยความสงสัย
“ที่นี่เขาให้พาลูกมาได้ด้วยหรือคะ ดีจังเลย” นั่นก็เพราะที่ทำงานเก่าของเธอนั้นห้ามอย่างเด็ดขาดเพราะเจ้านายของเธอไม่ชอบเด็กเท่าไร
“ได้จ้ะ เจ้านายที่นี่ไม่ว่าอะไรหรอก เขาเข้าใจอยู่ว่าบางทีคนเราก็ต้องมีเหตุจำเป็นกันบ้าง อย่างวันนี้แม่พี่มีธุระน่ะก็เลยอยู่ดูหลานไม่ได้ พี่เลยต้องพามาที่นี่ด้วย ที่ทำงานแฟนพี่ก็ไม่สะดวกเพราะเป็นโรงงาน”
เอมิกาอธิบายให้เลขาฯ รุ่นน้องฟังพลางป้อนข้าวบุตรชายไปด้วย ขณะที่จันทร์เจ้านั้นได้แต่ยิ้ม เธอรู้สึกดีใจที่ได้ทำงานที่นี่ เพราะหากวันไหนที่มารดาไม่ว่างเลี้ยงพราวนภาเธอจะได้พาหนูพราวมาทำงานด้วย
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่กำลังเข้ามาใกล้ทุกขณะทำให้รอยยิ้มของจันทร์เจ้าจางลงเล็กน้อย เพราะไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร หญิงสาวรีบเดินไปที่โต๊ะของตัวเองแล้ววางกระเป๋าสะพายไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินเร็ว ๆ ไปที่ห้องแคนทีนเพื่อหลบหน้าเขาชั่วคราว แต่ดูเหมือนว่าความคิดนี้จะผิดมหันต์ เพราะคนที่เธอไม่อยากเจอหน้าแต่เช้ากำลังเดินตามมาที่ห้องแคนทีนด้วย
ชินดนัยเดินยิ้มกริ่มมายืนอยู่ด้านหลังจันทร์เจ้าโดยเว้นระยะห่างไว้ไม่ให้ใกล้เธอมากเกินไป เขาทำทีเป็นเงยหน้าเล็กน้อย และทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นอะไรบางอย่างในห้อง
"หอมจังเลย กลิ่นนี้นี่มัน..." เขาหยุดพูดแค่นั้นแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกนิด รอยยิ้มกรุ้มกริ่มกว้างขึ้นกว่าเก่าเมื่อเห็นหญิงสาวหันมามองเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ และปรามอยู่ในที
"กลิ่นหมูปิ้งนี่นา แค่ได้กลิ่นก็หิวเลยเนี่ย หนูจันทร์กินข้าวมารึยัง สงสัยคงยังแน่เลยใช่ไหม ไม่อย่างนั้นคงไม่เดินมาที่นี่ พี่ว่าเราลงไปหาอะไรกินกันดีกว่าไหม"
จันทร์เจ้ายิ้มอ่อน รอยยิ้มของเธอทำคนมองตาพร่า เพราะจันทร์เจ้าเมื่อเจ็ดปีก่อนนั้นเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา รอยยิ้มจึงดูเจิดจ้าสดใส แต่จันทร์เจ้าในวันนี้แตกต่างออกไป เธอดูมีเสน่ห์เย้ายวนในแบบหญิงสาวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร แต่ก็ไม่ดูกร้านโลก ตรงกันข้าม บุคลิกนิ่ง ๆ ดูเรียบร้อยแต่สายตารู้ทันของเธอที่มองมา ส่งให้หญิงสาวดูน่าค้นหาและน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก
"ไม่รบกวนท่านประธานดีกว่าค่ะ เชิญตามสบาย เผอิญว่าไม่ค่อยชอบนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้านายเท่าไร มันอึดอัดค่ะ"
รอยยิ้มของชินดนัยยังคงประทับอยู่บนหน้า แต่สายตาดูแพรวพราวยิ่งกว่าเดิม เขากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เธออีกก้าวหนึ่งแล้วพูดว่า
"ถ้าอย่างนั้นเที่ยงนี้คงต้องทนอึดอัดหน่อยแล้วละ เพราะสิบโมงครึ่งเราต้องไปสาขาที่พารากอนกัน" เขาหยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ จากนั้นก็ลดเสียงเบาลงให้ได้ยินกันแค่สองคน
"ให้เกียรติกินข้าวกับพี่สักมื้อได้ไหม ในฐานะแฟนเก่าก็ได้"
จันทร์เจ้าทำหน้าตูมตาขวางทันที และเขาก็ชอบเหลือเกินที่เห็นเธออารมณ์เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเพราะตนได้ เพราะหมายความว่าอย่างน้อยเธอก็ไม่ได้รังเกียจหรือเกลียดเขาเสียจนมองเป็นอากาศธาตุ
"เล่นมาบอกกันตอนนี้ฉันสามารถปฏิเสธได้ด้วยหรือคะ" แม้น้ำเสียงของเธอจะเรียบนิ่งเพราะอย่างไรเสียเขาก็คือเจ้านาย แต่กระนั้นเขาก็ยังจับความรู้สึกของจันทร์เจ้าได้ว่าเธอไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก
"แน่นอนว่าไม่"
ชายหนุ่มเกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเสียง ฮึ! เบา ๆ จากเลขาฯ สาว กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่ได้ยินเสียงคนกำลังเดินมา เขาจึงต้องล้มเลิกความคิดไปเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ความสัมพันธ์ของตนกับจันทร์เจ้าในตอนนี้ เขาไม่อยากให้เธอลำบากใจและมองหน้าเพื่อนร่วมงานไม่ติด
"เอ...เที่ยงนี้กินอะไรดีน้า" เขาเปรยยิ้ม ๆ พลางเดินไปหยิบแก้วกาแฟของตัวเองมาวางบนเคาน์เตอร์ที่อยู่ตรงหน้าเธอ แล้วบอก
"ชงกาแฟให้หน่อยครับคุณจันทร์ เอาไปให้ผมในห้องนะ" เขาเปลี่ยนคำเรียกขานทันทีเมื่อเห็นพนักงานคนอื่นเดินเข้ามาในห้องแคนทีน
"ได้ค่ะท่านประธาน" จันทร์เจ้ามองค้อนเขาอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติพลางยิ้มให้ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ จากนั้นก็จัดแจงชงกาแฟให้ผู้เป็นนายซึ่งตอนนี้เดินออกจากห้องแคนทีนไปแล้ว
หลังจากชงกาแฟเสร็จ หญิงสาวก็นำไปให้เขาในห้องทำงาน ชินดนัยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่เธอจึงวางแก้วกาแฟไว้ให้เขาบนโต๊ะ ขณะที่กำลังจะหันกลับไปทางประตู ชายหนุ่มก็ทำมือเป็นเชิงบอกให้เธออยู่ก่อน จันทร์เจ้าจึงต้องยืนรออยู่หน้าโต๊ะเขา เพราะฟังจากที่เขาคุยโทรศัพท์กับคนที่อยู่ปลายสายแล้วเธอจึงคิดว่าเจ้านายคงต้องการคุยเรื่องงานด้วย
ไม่นานนักชินดนัยก็วางสาย และเป็นดังคาด เขาเรียกเธอไว้เพื่อคุยเรื่องงานจริง ๆ
