บทที่ 22 บทที่ 6 นาฬิกาไม่เดินถอยหลัง - 25%
ชินดนัยกับจันทร์เจ้าเดินเคียงกันไปบนทางเดินลอยฟ้าที่เชื่อมตั้งแต่แยกราชประสงค์จนถึงย่านสยามสแควร์ อันเป็นที่ตั้งของบรรดาห้างสรรพสินค้าใหญ่ซึ่งมีสินค้าแฟชั่นหลากหลายแบรนด์ชั้นนำไปจนถึงโชว์รูมรถหรู
ชายหนุ่มมีรอยยิ้มที่มุมปากตลอดเวลา เหตุผลหนึ่งที่เขาพาหญิงสาวมาเดินบนทางเดินลอยฟ้าตรงนี้ก็เพื่อระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เขากับเธอเจอกันครั้งแรก
ตอนนั้นเธอเป็นน้องปีหนึ่ง เขาเป็นพี่ปีสาม เขาเพิ่งเสร็จจากเตะบอลกับเพื่อน จึงนั่งจักรยานยนต์รับจ้างแถวหน้ามหาวิทยาลัยมาลงที่รถไฟฟ้าแล้วขึ้นมาบนทางเดินตรงนี้เพื่อจะเข้าไปที่บริษัทเพราะจอดรถไว้ที่นั่น เขาเห็นจันทร์เจ้ามาแต่ไกล ณ เวลานั้นเขาสนใจเธอขึ้นมาทันทีตามประสาผู้ชายรักสนุกเมื่อเห็นสาวสวยถูกใจ เธออยู่ในชุดนิสิตกระโปรงพลีตคลุมเข่าเดินหิ้วถุงของห้างสรรพสินค้าพะรุงพะรังเต็มสองมือ
และไม่รู้เพราะโชคเข้าข้างเขาหรือเพราะอะไร จู่ ๆ ก็มีลมแรงพัดมาจนผมของเธอปลิวมาปิดหน้าปิดตา ซ้ำร้ายไปกว่านั้น กระโปรงที่เธอสวมอยู่ก็ถูกลมพัดจนเลิกขึ้นเกือบเห็นกางเกงใน หญิงสาวดูตกใจมากแต่ก็นับว่ามีสติและแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เพราะเธอรีบทรุดตัวนั่งบนส้นเท้าแล้วเอาของวางไว้บนพื้น แต่ขวดน้ำผลไม้กลับกลิ้งออกมาจากถุง หนำซ้ำยังกลิ้งมาหาเขา ในเมื่อโอกาสรออยู่ตรงหน้า เขาจึงไม่รอช้าที่จะหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าของเพื่อทำความรู้จัก
ซึ่งพอเขารู้ว่าเธอเป็นรุ่นน้องในมหาวิทยาลัยเดียวกัน จึงเดินหน้าสานสัมพันธ์อย่างไม่ลดละ เขาตามจีบจันทร์เจ้าอยู่เกือบหนึ่งเทอม จนกระทั่งเธอขึ้นปีสองและเขาเรียนปีสี่ เธอจึงตกลงปลงใจยอมคบหากับเขา
"ยังจำตอนนั้นได้ไหมหนูจันทร์ เราเจอกันครั้งแรกตรงนี้"
เขาหันไปมองคนที่เดินข้างกาย เห็นเธอเดินช้าลง สายตามองไปยังจุดที่ตนเคยนั่งลงเพื่อหลบลมแรงในตอนนั้น เขาจึงชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามเธอไปด้วย หญิงสาวหันหน้ามองเขาครู่หนึ่งด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก จากนั้นก็ผินหน้ากลับไปแล้วก้าวเดินต่อ
"การรู้จักหรือเจอใครสักคนก็ต้องมีครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้นแหละค่ะ" เธอตอบเสียงเรียบ ไม่มีทีท่าปั้นปึ่งประชดประชัน
"มันก็ใช่ แต่ใครสักคนที่ว่าน่ะ เรามักจัดลำดับความสำคัญของแต่ละคนด้วยไม่ใช่หรือ อย่างพี่เองก็จัดให้จันทร์อยู่ในลำดับต้น ๆ เพราะถึงเรื่องของเราจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่พี่ก็ไม่เคยลืม"
จันทร์เจ้าเงียบไปครู่ใหญ่จนเขาคิดว่าเธอคงไม่พูดอะไรแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้ยินเสียงเธอ
"ฉันขออยู่อันดับสุดท้าย หรือไม่มีอันดับดีกว่าค่ะ"
เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อได้ยินเธอตอกกลับมา เขาก้าวนำหน้าเธอหนึ่งก้าวแล้วหยุดเดินดักหน้าเธอไว้
"อันดับสุดท้ายก็ได้ พี่ยกให้จันทร์เป็นคนสุดท้ายในชีวิตพี่เลย"
เขาพูดไปอย่างที่ใจคิด ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา แม้จะมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาวนเวียนผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ส่วนลึกในใจของเขาไม่เคยลืมผู้หญิงตรงหน้าคนนี้เลย ช่วงที่เขาคบหากับเธอ ใช่ว่าเขาไม่รักจันทร์เจ้า แต่เพราะเวลานั้นเขาอายุยังน้อย และยังหลงระเริงกับสิ่งสวยงามที่ล่อตาล่อใจ บวกกับฮอร์โมนเพศชายที่พลุ่งพล่านและความมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองอันล้นเหลือ เขาจึงแอบคบซ้อน และนอกใจเธอไปคบกับผู้หญิงอื่นอีกหลายต่อหลายคนโดยที่เธอไม่เคยรู้
พอเสียเธอไปแล้วเขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าได้ทำเพชรหลุดมือไป
จันทร์เจ้าเบนสายตาไปทางอื่น ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ
"นาฬิกาไม่เดินถอยหลังค่ะ ถ้ามันเดินย้อนกลับไปก็แสดงว่ามันเสีย และถ้าหยุดเดินก็หมายความว่านาฬิกาตาย"
"มันก็จริงที่นาฬิกามันต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว มันเดินถอยหลังไม่ได้ แต่ถ้ามันเสียหรือหยุดเดิน เราก็ส่งซ่อมให้มันกลับมาเดินเป็นปกติ แต่นาฬิกาบางเรือน การหยุดเดินไม่ได้หมายความว่ามันตาย เราแค่ต้องไขลานใหม่หรือเขย่าไม่กี่ทีมันก็กลับมาเดินได้เหมือนเดิมแล้ว" เขาหยุดพูดเมื่อเธอหันกลับมามองหน้าเขา
"ถูกของคุณค่ะ แต่ชีวิตเราก็เหมือนนาฬิกานะคะ คือต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ควรเดินย้อนกลับไปข้างหลัง"
"ก็ในเมื่อเราไม่ควรเดินย้อนกลับไปข้างหลัง แล้วทำไมเราถึงต้องมาใส่ใจกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้วล่ะ อดีตเรากลับไปแก้ไขไม่ได้ เราทำได้แค่เดินหน้าต่อ เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะก้าวต่อไปไม่ใช่หรือ" เขายิ้มใส่ตาเธอเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของหญิงสาวที่ถูกเขาพูดดักไว้ทุกทาง
เจ็ดปีที่เลิกกันไป เขาแอบเก็บเธอไว้ส่วนลึกในใจมาเงียบ ๆ เพราะตั้งใจจะให้เป็นความทรงจำที่ดีว่าครั้งหนึ่งตนก็เคยมีผู้หญิงดี ๆ คนหนึ่งเข้ามาในชีวิต
ตอนนั้นเขาเชื่อว่าไม่นานจันทร์เจ้าคงมีคนใหม่เข้ามาแทนที่เขา และเขาเองก็คงใช้ชีวิตตามปราะสาหนุ่มเจ้าสำราญต่อไป เวลาที่เขามีผู้คนรายล้อมรอบกาย เขาจึงลืมเลือนเธอไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่คนเดียว หรือเห็นเพื่อนสนิทสวีตหวานกับแฟนสาว ใบหน้าของจันทร์เจ้าก็จะโผล่เข้ามาในห้วงคำนึงของเขาเสมอ
ตอนที่เขาใช้ชีวิตเหลวแหลกอยู่เมืองนอก เขาคิดว่าจากนี้ไปคงไม่มีโอกาสได้กลับมาเจอกับจันทร์เจ้าอีก เพราะก่อนที่เขาจะเดินทาง เขาเคยโทรศัพท์ไปหาเพื่อจะบอกลาและเอ่ยคำขอโทษ แต่เธอเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว และจัดการตัดขาดกับเขาทุกทาง ครั้นจะไปหาเธอที่บ้านด้วยตัวเอง เขาก็หน้าบางเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้ สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างสูญสลายไปตามกาลเวลา และคิดเพียงว่าหากมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีก เขาจะไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือ และสวรรค์ก็คงได้ยินความปรารถนาลึก ๆ ในใจของเขา จึงเหวี่ยงให้เธอได้กลับมาเจอกับเขาอีกครั้งหนึ่ง
"ใช่ค่ะ เราควรเดินต่อไป แต่ระหว่างที่เดินเราก็ควรนำประสบการณ์จากอดีตมาเป็นสิ่งเตือนใจด้วย ว่าทางไหนควรไปทางไหนควรเลี่ยง"
เธอเชิดหน้าพูดกับเขาอย่างถือดี เขาเห็นแล้วรู้สึกมันเขี้ยวอยากหยิกแก้มสักทีสองทีแล้วหอมสักฟอดให้หายอยาก แต่ทำไม่ได้เพราะกลัวเธอโกรธจึงได้แต่หัวเราะเบา ๆ
"หนูจันทร์...บางทีเส้นทางนั้นมันอาจจะเคยขรุขระเดินไม่สะดวกก็จริง แต่ทุกสิ่งก็ต้องได้รับการแก้ไขไม่ใช่หรือ ดีไม่ดีเส้นทางนั้นมันอาจจะถูกปรับจนราบเรียบเดินสะดวกแล้วก็ได้ ถ้าไม่ลองเสี่ยงเดินดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามันดีขึ้นแล้ว ดูอย่างถนนหรือทางเท้าบ้านเราสิ จุดไหนไม่ดีเขาก็ซ่อมให้กลับมาดีได้ ไม่เคยปล่อยทิ้งไว้ในสภาพนั้นไม่ใช่หรือ"
คราวนี้จันทร์เจ้าแค่นยิ้มใส่เขาแล้วพูดว่า
"ขอโทษนะคะท่านประธาน ตั้งแต่ฉันจำความได้จนกระทั่งบัดนี้ ถนนกับริมทางเท้าในกรุงเทพฯ เนี่ย ซ่อมแล้วซ่อมอีกซ่อมไม่มีที่สิ้นสุด ซ่อมเสร็จก็ดูสวยดีแต่ไม่เกินปีก็เจ๊งเหมือนเดิม"
เธอพูดพลางบุ้ยหน้าลงไปด้านล่าง เขาจึงมองตามลงไปก็เห็นว่าริมทางเท้าที่คนเดินกันขวักไขว่อยู่นั้นมีพื้นไม่สม่ำเสมอ แผ่นปูนแตกเป็นบางแผ่น บางจุดก็หลุดออกมา ซึ่งเขาเองก็เห็นด้วยกับเธอที่ว่าถนนหรือทางเดินเท้าในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มักใช้งานไม่ได้นาน เว้นเสียแต่ว่าบริเวณนั้นเอกชนจะลงมือควักทุนจ่ายเองเพื่อหน้าตาขององค์กร
เขาหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่พลางก้าวเดินต่อ
"เออเนอะ มันก็จริง ว่าแต่พวกเรานี่ก็คุยกันไปเรื่อยเลยนะ จากเรื่องนาฬิกาไปที่เรื่องถนนหรือทางเท้าได้ยังไงก็ไม่รู้"
