บทที่ 23 บทที่ 6 นาฬิกาไม่เดินถอยหลัง - 50%

ชินดนัยรู้ตัวว่าจันทร์เจ้าว่ากระทบเขาเรื่องการซ่อมถนนหรือทางเท้าของกรุงเทพฯ ซี่งเขาเองก็ไม่คิดจะเถียงหรือแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะเขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ไม่แปลกที่หญิงสาวยังยึดติดว่าเขาเป็นเพลย์บอยจอมเจ้าชู้คนนั้นอยู่ อีกทั้งเขาก็สร้างความเจ็บช้ำให้เธอไว้ไม่น้อย เธอจะตั้งแง่กับเขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควร เขาก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป จันทร์เจ้าจะเข้าใจและเริ่มมองเขาที่เป็นคนใหม่ ไม่ใช่หนุ่มเสเพลเมื่อเจ็ดปีก่อนคนนั้นอีก

ทั้งคู่มาถึงโชว์รูมนาฬิกาที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ผู้จัดการสาขาซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและนอบน้อม พนักงานสาวในชุดสูทสีดำที่ไม่ได้กำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ต่างยกมือไหว้ทำความเคารพชินดนัย ขณะที่จันทร์เจ้าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ อย่างเป็นมิตรบนหน้าตลอดเวลา

จันทร์เจ้ากวาดตามองโชว์รูมนาฬิกาที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูดูมีรสนิยมด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นตาเป็นประกายเมื่อเห็นนาฬิกาที่ราคาเป็นแสนเป็นล้าน สำหรับเธอแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของนอกกาย มีก็ดีไม่มีก็ได้ เพราะตนก็ไม่ใช่นักสะสม อีกทั้งหากตนมีโอกาสได้ครอบครองนาฬิการาคาแพงแบบนี้อีกครั้ง ก็คงเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้กับหลานรักอย่างพราวนภา เผื่อในอนาคตมีเหตุให้ต้องใช้เงินก็สามารถนำออกมาขายต่อได้

"เชิญทางนี้ครับคุณชิน" ผู้จัดการหนุ่มผายมือเชิญให้ชินดนัยกับหญิงสาวที่มาด้วยกันไปนั่งที่ชุดรับรองแขก ทั้งสองคนจึงเดินไปตรงนั้น หลังจากนั่งเรียบร้อยแล้วชินดนัยจึงแนะนำจันทร์เจ้าให้อีกฝ่ายได้รู้จัก

"คุณเพชรครับ นี่คุณจันทร์เจ้า เป็นเลขาฯ คนใหม่ของผมเอง คุณจันทร์ นี่คุณพัชระ หรือเรียกคุณเพชรก็ได้ เขาเป็นผู้จัดการสาขานี้"

จันทร์เจ้ายกมือไหว้พัชระพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ชายหนุ่มรับไหว้แล้วยิ้มตอบพลางลอบมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เลขานุการคนใหม่ของท่านประธานดูนิ่งขรึมไว้ตัวแต่ไม่หยิ่งยโส ให้ความรู้สึกของความเป็นผู้ดี ซึ่งเขาคิดว่าบุคลิกแบบนี้จึงจะเหมาะสำหรับตำแหน่งเลขานุการของประธานบริษัทมากกว่าคนเดิม

"ผมพาคุณจันทร์เขามาที่นี่เพราะอยากให้เห็นภาพรวมทั้งหมดน่ะว่าเราทำงานกันยังไง มีขั้นตอนไหนบ้าง คุณจันทร์เขาเพิ่งมาทำงานกับผมได้ไม่กี่วันเองก็เลยคิดว่าพามาทำความรู้จักกับคุณเพชรไว้เลยดีกว่า เพราะอีกหน่อยต้องติดต่อกันบ่อย"

ชินดนัยบอกจุดประสงค์ของการมาที่นี่กับพัชระอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้คุยกันทางโทรศัพท์แล้ว ซึ่งผู้จัดการหนุ่มก็พยักหน้ารับรู้พร้อมกับยิ้มให้เลขานุการคนใหม่อย่างเป็นมิตรก่อนพูดว่า

"ถ้าอย่างนั้นผมพาคุณจันทร์..." พัชระยังพูดไม่ทันจบประโยค ชินดนัยก็ชิงพูดขึ้นก่อน

"ผมจะเป็นคนพาคุณจันทร์ทัวร์ในชอปเองเพราะคงต้องมีการอธิบายบางจุดละเอียดหน่อย คุณเพชรคอยอยู่รับรองลูกค้าดีกว่า" ชินดนัยยิ้มมุมปาก ประโยคที่ฟังดูเหมือนเป็นการออกคำสั่งกลาย ๆ นั้นทำเอาผู้จัดการหนุ่มถึงกับพูดอะไรไม่ออกนอกจากพยักหน้ารับแล้วคลี่ยิ้มให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด

"ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนคุณชินดีกว่า มีอะไรก็เรียกผมได้เลยนะครับ" พัชระลุกขึ้นอย่างรู้งาน แม้ในใจจะมีแต่ความสงสัยกับพฤติกรรมแปลก ๆ ของผู้เป็นนายที่ลงทุนพาเลขาฯ ส่วนตัวมาทัวร์ในโชว์รูม หนำซ้ำยังเป็นคนคอยอธิบายการทำงานด้วยตัวเองอีก ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยลงมายุ่งกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพในฐานะผู้จัดการ เขาจึงต้องเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ ไม่แสดงออกถึงความอยากรู้ทางสีหน้าและแววตาให้พนักงานคนอื่นในร้านสังเกตเห็น

ชินดนัยพยักหน้าเรียกให้จันทร์เจ้าเดินตามไปที่ตู้โชว์นาฬิกาที่ฝังเข้ากับผนังที่อยู่ใกล้ที่สุด ตู้โชว์แต่ละตู้จะมีนาฬิกาหนึ่งหรือสองเรือนจัดวางไว้อยู่ในนั้น หญิงสาวหยุดยืนหน้าตู้แล้วมองสิ่งประดิษฐ์นั้นผ่านกระจกนิรภัย ซึ่งจัดว่าเป็นงานศิลป์ชั้นยอดในรูปแบบของนาฬิกาข้อมือ

"อย่างที่จันทร์เคยรู้อยู่แล้วว่านาฬิกาของเราจะเป็นงานทำด้วยมือทั้งหมด และทุกขั้นตอนในการผลิตนั้น ต่อให้เป็นแค่ฟันเฟืองเล็ก ๆ เราก็พิถีพิถันมาก นาฬิกาบางรุ่น เราต้องใช้คนทำถึงห้าสิบกว่าคน กลไกของบางรุ่นก็มีส่วนประกอบมากถึงสองพันกว่าชิ้น เพราะฉะนั้นหากใครต้องการเป็นเจ้าของนาฬิกายี่ห้อนี้สักเรือน ต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะได้ของกลับไปเลย เพราะเราต้องสั่งผลิตเรือนต่อเรือน"

ชายหนุ่มพูดพลางเดินไปอีกตู้โดยมีหญิงสาวคอยเดินตาม ซึ่งคราวนี้เป็นตู้ที่ตั้งอยู่กลางร้าน และมีนาฬิกาหลายรุ่นวางเรียงอยู่ในนั้น เขาก้มลงมองแล้วพูดว่า "ยิ่งรุ่นไหนที่เป็นที่นิยมก็จะรอคิวนานหน่อย รอกันเป็นปีสองปีกว่าจะได้ครอบครอง"

"ลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจใช่ไหมคะว่าต้องรอนานขนาดนั้น" หญิงสาวถามอย่างสงสัย เพราะตอนนั้นที่ตนได้มาใส่ติดข้อมือก็เป็นของมือสอง แต่กระนั้นราคาของมันก็ยังหลายแสน

"ส่วนใหญ่คนที่มาเป็นลูกค้าของที่นี่มักจะเล่นหรือสะสมนาฬิกากันอยู่แล้ว ก็จะเข้าใจว่ายี่ห้อนี้ต้องสั่งทำเท่านั้น นาฬิกาของเราจะไม่มีการผลิตออกมาหลายเรือนแล้ววางขายเรียงกันเป็นตับเหมือนบางยี่ห้อ หากใครอยากได้ของเร็ว จ่ายเงินปุ๊บได้ของปั๊บก็ต้องไปซื้อมือสองเอา แต่คนที่เขาอยากได้มือหนึ่งจริง ๆ เขาจะรอกันได้"

ชินดนัยหันไปมองรอบตัวว่ามีคนอื่นอยู่ใกล้หรือไม่ ครั้นพอเห็นว่าไม่มีใครเขาจึงหันไปหาหญิงสาวที่ยืนข้างกายแล้วลดเสียงเบาลงให้ได้ยินกันแค่สองคน

"ของบางอย่างถ้ามันคุ้มค่ากับการรอคอย ต่อให้รอหนึ่งปีหรือสองปียังไงก็รอได้อยู่แล้ว ก็เหมือนคนเรานั่นแหละ ถ้าคนคนนั้นควรค่าแก่การให้นึกถึงและรอคอย ต่อให้ต้องใช้เวลากี่ปีก็รอได้เสมอ"

จันทร์เจ้ามองเขาด้วยหางตาแล้วพูดกลับไปเบา ๆ เช่นกัน

"แต่ก็ต้องไม่ลืมถามคนคนนั้นด้วยนะคะว่าเขาอยากให้รอไหม บางทีเขาอาจจะอยากให้เป็นเส้นขนานกันไปตลอดชีวิตก็ได้นะคะ"

"ก็ไม่เป็นไร" เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนพูดต่อ

"เพราะพี่จะเอาปากกาลากเส้นขึ้นมาใหม่ให้เส้นขนานสองเส้นมันมาบรรจบกัน" เขาพูดพลางทำท่าประกอบ ขณะที่หญิงสาวนั้นหัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังคงความเรียบเรื่อยอยู่

"เขียนได้ก็ลบได้ค่ะ ที่โต๊ะมีลิควิด และถ้ายังมือบอนเขียนอีกก็หักปากกาทิ้งซะก็สิ้นเรื่อง"

ชินดนัยเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เอียงศีรษะเข้าไปใกล้เธออีกนิดแล้วพูดเบา ๆ

"ดุจัง กลัวนะเนี่ย"

หญิงสาวทำเสียงฮึเบา ๆ แล้วเดินหนีไปอีกด้านของตู้โชว์ ซึ่งฝั่งนั้นเป็นนาฬิกาสำหรับผู้หญิง สายตาของจันทร์เจ้าจับจ้องไปที่นาฬิกาเรือนหนึ่งไม่วางตา และชายหนุ่มก็สังเกตเห็นเช่นกัน

"รุ่นนี้ขายดีที่สุด ตอนนี้ยอดสั่งจองอยู่ที่สามร้อยกว่า ซึ่งแน่นอนว่าจะรับนาฬิกาได้ก็ต้องรอประมาณปีครึ่ง" เขาจำได้ว่าจันทร์เจ้าก็มีนาฬิกายี่ห้อนี้อยู่เรือนหนึ่งเช่นกัน และเป็นรุ่นเดียวกับที่หญิงสาวกำลังมองอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่เคยบอกใครว่าครอบครัวทำธุรกิจอะไร เวลามีคนถามเขาก็บอกแค่ว่าที่บ้านเปิดร้านขายนาฬิกา

"ตอนนี้ราคาเท่าไรแล้วคะ" เธอถามขึ้นโดยที่สายตาไม่ละไปจากนาฬิกาเรือนนั้น

"รุ่นธรรมดาอยู่ที่หกแสนกว่า แต่ถ้าเป็นโรสโกลด์จะอยู่ที่หนึ่งล้านหนึ่ง"

ชินดนัยตอบเสียงนุ่ม ยิ่งเห็นสายตาที่มีแต่ความระลึกถึงของหญิงสาวแล้วเขาก็อดสงสารเธอไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็นับถือในความเข้มแข็งของเธอด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านาฬิกาที่เขาเคยเห็นเรือนนั้น ป่านนี้คงถูกขายทอดตลาดไปแล้ว

บทก่อนหน้า
บทถัดไป