บทที่ 24 บทที่ 6 นาฬิกาไม่เดินถอยหลัง - 75%

เขาไม่กล้าละลาบละล้วงถามเรื่องครอบครัวของเธอ เพราะไม่อยากให้จันทร์เจ้ามองว่าตนไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกทั้งเรื่องครอบครัวล้มละลายแบบนี้หญิงสาวคงไม่ต้องการพูดถึงเท่าไรนัก

"รุ่นนี้พวกดาราหรือไฮโซแถวหน้าของเมืองไทยฮิตกันมาก แต่เวลามีคนใส่ชนกันกลับไม่ดูเกร่อ ถ้าเปรียบเป็นกระเป๋าก็คงเหมือนชาแนลหรือแอร์เมสนะคะ"

"ใช่ เพราะนาฬิกาของเราไม่เคยลดราคา มีแต่ขึ้นราคา ถ้ามีตำหนิหรือข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ทางผู้ผลิตจะทำใหม่ทันที ยิ่งบางรุ่นที่ไม่ผลิตแล้วก็ยิ่งแพง ราคามีแต่ทะยานขึ้น เขาถึงได้บอกไงว่าเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้ลูกหลานได้"

เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางผู้ชายอายุประมาณสี่สิบแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ในห้องรับรอง

"เห็นลูกค้าคนนั้นไหม เขามารับนาฬิกาที่สั่งไว้ซึ่งนับเป็นเรือนที่หกแล้วที่ซื้อไปจากที่นี่ เขาบอกว่าชอบสะสมนาฬิกาเพราะกะจะเอาไว้เป็นทรัพย์สินในมรดกด้วย"

จันทร์เจ้าพยักหน้ารับรู้เพราะเข้าใจดี ตอนที่บ้านของเธอต้องนำทรัพย์สินมีค่าออกขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ เฉพาะนาฬิกาสะสมของบิดาก็ขายได้มากถึงสิบกว่าล้าน ส่วนนาฬิกาของเธอกับพี่สาวนั้นขายได้ล้านกว่าบาท ซึ่งเงินก้อนนั้นเธอฝากธนาคารไว้เป็นค่าเล่าเรียนของพราวนภา

"แต่จะว่าไป ต่อให้ของมีราคาแพงแค่ไหน ก็ต้องมีวันที่มันจะเสียบ้าง เราจึงมีศูนย์บริการสำหรับซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ที่นี่ด้วย ไม่ต้องส่งไปซ่อมถึงเมืองนอก แต่ถ้าเปลี่ยนอะไหล่ยังไงก็ต้องรอของจากทางเมืองนอกส่งมาอยู่ดี"

จากนั้นชายหนุ่มก็พาจันทร์เจ้าเดินดูนาฬิการุ่นต่าง ๆ พร้อมกับอธิบายกลไกการทำงานของแต่ละรุ่นให้ฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงให้เธอสัมผัสและหยิบขึ้นมาดูใกล้ ๆ ได้ โดยก่อนที่จะแตะต้องนาฬิกาเหล่านั้นหญิงสาวต้องสวมถุงมือสีขาวของทางร้านก่อน

กว่าจะเสร็จจากการดูการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของโชว์รูมรวมไปถึงการทำความรู้จักกับนาฬิกาแต่ละรุ่น เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงครึ่ง ชินดนัยจึงถือโอกาสชวนจันทร์เจ้ากินมื้อกลางวันด้วยกันที่นี่

"กินอะไรกันดีหนูจันทร์ เที่ยงกว่าแล้วคนกำลังเยอะเลยละ แต่พี่หิวมากเลยเนี่ยเมื่อเช้าดื่มกาแฟมาแค่แก้วเดียวเอง"

เขาพูดพลางลูบท้องไปด้วย แต่จันทร์เจ้าเบือนหน้ามองไปทางอื่นเพราะทั้งคำพูดและเหตุการณ์ตอนนี้คล้ายคลึงกับอดีตที่ผ่านมาราวกับเดจาวู

"พี่ว่าเราเดินไปดูร้านอาหารข้างในกันดีกว่าไหม ตรงนี้คนเยอะเกิน ขี้เกียจรอ" เขาหันไปถามความเห็น

"ค่ะ" หญิงสาวตอบเขาสั้น ๆ แล้วเดินเยื้องไปทางด้านหลังเขาเล็กน้อย แต่ชินดนัยกลับชะลอฝีเท้าให้เดินช้าลงเพื่อจะได้เดินไปพร้อมกับเธอ จนในที่สุดทั้งคู่ก็เดินอยู่ในระดับเดียวกัน

ทว่าการเดินไปด้วยกันของทั้งสองคนนั้นได้ตกอยู่ในสายตาของใครบางคนเข้าโดยบังเอิญ

"นั่นมันยายจันทร์นี่นา เดินอยู่กับใครน่ะ" คนพูดเพ่งมองชายหนุ่มที่เดินอยู่กับจันทร์เจ้าเพื่อนสนิท ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นชัดเต็มสองตาว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร

"พี่ชิน! ทำไมยายจันทร์มาอยู่กับพี่ชินได้"

สรุปแล้ววันนี้จันทร์เจ้าได้ไปเยี่ยมชมโชว์รูมนาฬิกาที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนเพียงแห่งเดียว ไม่ได้ไปที่ศูนย์บริการสำหรับซ่อมนาฬิกา เพราะชินดนัยอ้างว่ามีเอกสารบางฉบับต้องรีบกลับไปจัดการให้เสร็จ ตลอดช่วงบ่ายหญิงสาวจึงได้มาติดตามงานที่คั่งค้าง และเพราะตนปิดเสียงโทรศัพท์มือถือไว้ จึงไม่ได้ยินเสียงข้อความจากเพื่อนที่กระหน่ำส่งเข้ามาทางไลน์ กว่าจะได้อ่านข้อความเหล่านั้นก็เกือบถึงเวลาเลิกงานแล้ว

'แกกลับไปคบกับพี่ชินหรือ ทำไมแกไม่เล่าให้ฉันฟัง'

'ไหนแกบอกว่าจะไม่ยุ่งกับเขาแล้วไง'

'คบกันมานานเท่าไหร่แล้ว และทำไมแกต้องปิดบังฉัน'

'คืนนี้ฉันจะโทร. ไปคุยด้วย ทำสายให้ว่างด้วยนะ'

ทั้งหมดเป็นข้อความจากวรัชยาหรือวีวี่ เพื่อนอีกคนของจันทร์เจ้าที่ยังหลงเหลืออยู่ หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะส่งข้อความไปถามไปรมาว่าได้เล่าเรื่องนี้ให้วรัชยาฟังหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาทันทีว่าไม่ได้คุยกับวรัชยามานานมากแล้ว เธอจึงคิดว่าวีวี่น่าจะบังเอิญเห็นเธอเดินอยู่กับชินดนัยกระมัง

ความจริงแล้วจันทร์เจ้าจะคุยเรื่องสำคัญหรือปรึกษาปัญหาส่วนตัวกับไปรมามากกว่า ส่วนวรัชยานั้นแม้จะคบหากันมานานตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่ค่อยสนิทใจกับอีกฝ่ายเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะว่าวรัชยามักมา ๆ หาย ๆ บางครั้งก็หายหน้าไปไม่ติดต่อเธอกับไปรมาหลายเดือนหรือเกือบปี จะได้คุยกันเล็กน้อยผ่านทางเฟซบุ๊กเท่านั้น แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอไม่รู้สึกสนิทใจกับวรัชยานั่นก็เพราะอีกฝ่ายมักพยายามแข่งกับเธอแทบทุกเรื่องอย่างที่ไปรมาพูดไว้

โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าที่เธอมี วรัชยามักจะมีเหมือนกับเธอ จะแตกต่างกันก็แค่สีเท่านั้น หรือบางครั้งเจ้าตัวจะมีรุ่นใหม่กว่าแล้วนำมาเกทับเธออย่างผู้ชนะ ซึ่งเธอก็ไม่ได้เก็บเรื่องหยุมหยิมแบบนั้นมาเป็นอารมณ์ แต่มีสองอย่างที่วรัชยาไม่สามารถมีเหมือนเธอได้ นั่นก็คือนาฬิกาข้อมือและผู้ชาย เพราะนาฬิกาที่เธอใส่ตอนนั้นราคาหลายแสนบาท ส่วนผู้ชาย หรือคนรักนั้นวรัชยาตามตื๊อชินดนัยไม่สำเร็จ อีกฝ่ายจึงไม่เคยเปิดปากพูดถึงเรื่องนี้เลยเพราะสู้เธอไม่ได้

ทว่าหลังจากที่บ้านของเธอล้มละลาย วรัชยาก็ไม่ได้สนใจจะมาประชันขันแข่งอะไรกับเธออีก แต่เปลี่ยนเป็นมาอวดข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง หรืออวดการไปเที่ยวต่างประเทศด้วยการถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ดูทางไลน์

"คุณจันทร์ ผมเชิญที่ห้องหน่อยครับ"

เสียงจากอินเตอร์คอมดังขึ้น จันทร์เจ้าจึงวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่เดิมแล้วกรอกเสียงตอบรับไปสั้น ๆ "ค่ะ"

หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปเคาะห้องทำงานของประธานบริษัทก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เห็นชายหนุ่มกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จึงเดินไปยืนหน้าโต๊ะทำงานของเขาเพื่อรอรับคำสั่ง

ชินดนัยหันหน้าจอโน้ตบุ๊กมาทางเธอ ซึ่งเว็บไซต์ที่เขาเปิดทิ้งไว้เป็นเว็บบอร์ดชื่อดังที่คนไทยนิยมอ่านกันมากที่สุดเว็บหนึ่ง หญิงสาวก้มหน้าอ่านหัวข้อกระทู้และเนื้อหาในนั้นแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะมีคนมาตั้งกระทู้บอกว่าซื้อนาฬิกาจากโชว์รูมที่สยามพารากอนแล้วมีปัญหา ส่งซ่อมไปร่วมครึ่งปีแต่ได้ของกลับมาแล้วยังมีปัญหาเดิมอยู่

"ท่านประธานจะให้ฉันตามเรื่องนี้ใช่ไหมคะ"

"ใช่ เพราะเขาบอกว่าซื้อไปไม่ถึงเดือนแต่เครื่องมีปัญหา แจ้งศูนย์ส่งซ่อมไปแต่รอถึงครึ่งปีกว่าจะซ่อมเสร็จ พี่คิดว่าระยะเวลามันนานเกินไป พี่อยากรู้ว่ามันผิดพลาดที่ตรงไหน ช่างคนไหนเป็นคนรับผิดชอบเคสนี้ และตกลงแล้วมันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ และถ้าเป็นไปได้ หลังจากที่เคลียร์ปัญหาตรงนี้เสร็จแล้ว จันทร์ลองไปคุยกับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ดูหน่อยว่าเราจะชี้แจงปัญหานี้ลงไปในกระทู้ได้ยังไงบ้าง พี่ไม่ต้องการให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียหาย"

"ได้ค่ะ" หญิงสาวรับคำสั่งแล้วก้มหน้ามองหัวข้อกระทู้นั้นอีกครั้งเพื่อที่จะได้ไปเปิดที่คอมพิวเตอร์ของตัวเองบ้าง

"เมื่อกี้พี่ส่งลิงก์ให้ทางอีเมลแล้ว" ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจสั่งงานให้เธอทำอีกหนึ่งงาน

"แล้วก็พี่รบกวนอีกอย่างนะจันทร์ ถ้าว่างจากงานอื่นแล้วจันทร์ลองเข้าเว็บบอร์ดนั้นหน่อย เสิร์ชหากระทู้ที่เกี่ยวกับนาฬิกาของเราทั้งสองแบรนด์ดูว่ามีลูกค้ามาโพสต์ว่าเจอปัญหาอะไรอีกรึเปล่า"

"ค่ะ ถ้าเจอฉันจะส่งลิงก์ให้ทางอีเมลนะคะ"

"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มยิ้มจนตาเป็นสระอิ จากนั้นก็พับหน้าจอโน้ตบุ๊กปิดไว้แล้วลุกขึ้นยืน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป