บทที่ 2 ความทรงจำ(2)

“แล้วพ่อล่ะ พ่อมีแค่ลูกคนเดียวนะข้าว”

“ข้าวรักพ่อนะคะ พ่อมาหาข้าวได้ตลอดถ้าพ่อคิดถึงข้าว แต่ข้าวคงกลับไปกับพ่อไม่ได้“

“ข้าวขอโทษจริงๆ ค่ะ”

“โอเคพ่อเข้าใจ ไว้ข้าวพร้อมที่จะกลับเมื่อไหร่ข้าวบอกพ่อนะ พ่อรอข้าวเสมอ”

“พ่อรักข้าวนะลูก” พ่อเดินเข้าใกล้

“พ่อมันโง่เองที่ปล่อยข้าวกับแม่ไป” พ่อมองหน้าฉันพูดเสียงสั่นเครือ

“เมื่อก่อนข้าวยอมรับว่าข้าวโกรธพ่อมาก แต่ตอนนี้ข้าวไม่ได้โกรธพ่อ”

“แต่ข้าวแค่ไม่อยากเจอหน้าผู้หญิงคนนั้น พ่อเข้าใจข้าวนะ”

“พ่อเข้าใจ พ่อจะรอ รอวันที่ข้าวโตพอที่จะกลับไปดูแลธุรกิจที่มันเป็นของข้าวนะลูก” พ่อเดินเข้ามากอด

“พ่อรักข้าว” พ่อกอดฉันแน่น

“ข้าวรักพ่อนะคะ” ฉันพูดเสียงเบาก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นสวมกอดพ่อ

ฉันกอดพ่อไว้แน่นพร้อมน้ำตาที่มันไหลออกมาไม่หยุด อ้อมกอดพ่อยังอุ่นเหมือนตอนที่ฉันยังเด็ก ถึงเวลาจะผ่านไปก็นานแต่มันก็จำได้ไม่เคยลืม มันเป็นอ้อมกอดที่ฉันโหยหามาตลอดหลายสิบปี

“พ่อดูแลตัวเองด้วยนะคะ อย่าทำงานจนลืมดูแลสุขภาพ” ฉันยิ้มให้พ่อตอนนี้มันรู้สึกดีมาก มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก ที่สามารถทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างเราสองคนพ่อลูกไปได้

“แล้วพ่อจะหาเวลามาหาข้าวบ่อยๆ นะ ดูแลตัวเองมีอะไรขาดเหลือบอกพ่อ พ่อช่วยข้าวได้ทุกเรื่อง พ่ออยากชดเชยทุกอย่างให้ข้าว” พ่อเอามือลูบหัวพร้อมรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่น

“ค่ะพ่อ” ฉันหอมแก้มพ่ออยากจะทำแบบนี้ทุกวันแต่ก็ทำได้แค่ฝัน

“กลับดีๆ นะคะ บ๊ายบาย” ฉันโบกมือลาพ่อยืนดูจนรถพ่อวิ่งออกไปก่อนจะขึ้นไปบนห้อง

“แม่คะ แม่ไม่ว่าข้าวใช่มั้ยที่ข้าวให้อภัยพ่อ”

“ข้าวไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่ข้าวอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยากมีความสุข”

“แม่เข้าใจข้าวนะ”

“ข้าวรักแม่คิดถึงแม่ทุกวันเลยรู้มั้ย” ฉันคุยกับรูปที่ถ่ายคู่กับแม่ก่อนแม่จะเสียพร้อมกับกอดรูปแน่นและน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม “ข้าวคิดถึงแม่”

“ข้าวจะเข้มแข็ง ข้าวจะอยู่เพื่อแม่ค่ะ” ก่อนตายแม่บอกให้ฉันเข้มแข็ง เป็นคนดีและต้องอยู่อย่างมีความสุข ทุกวันนี้ฉันทำตามที่แม่บอกทุกอย่างเพราะฉันเชื่อว่าแม่กำลังมองลงมาและจับตาดูลูกสาวคนนี้ที่เติบโตขึ้นทุกวันอยู่ตลอด...

กรุงโรม อิตาลี

ห้องสูตรสุดหรู

“จะไปแล้วเหรอคะ”

...นางแบบสาวสวยลุกขึ้นจากเตียงทันทีที่ชายหนุ่มผิวขาวจมูกโด่ง ในตาคมกริบเต็มไปด้วยความเย็นชาและเลือดเย็น ลุกขึ้นก่อนจะถอดถุงยางโยนทิ้งใส่หน้าเธอ

“นี่ของเธอ” .... เสียงเข้มพูดขึ้นอย่างดุดันก่อนจะโยนเงินก้อนใหญ่ลงเตียง

“เมื่อไหร่คุณจะมาหาเกรซอีก” ...หญิงสาวทำหน้าเย้ายวนอ้อนชายหนุ่มอย่างออดอ้อน

“หึ...เธอรู้ดีว่าฉันเป็นยังไง” เขาสวมกางเกงแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจว่าคนที่นอนอยู่จะรู้สึกยังไง

“กรี๊ดดดด” ...เธอกรีดร้องออกมาด้วยความโมโห เพราะเธอเชื่อมั่นว่าจะทำให้เสือร้ายอย่างเขาที่สาวทั้งกรุงโรมอยากได้จะเป็นของเธอเพียงผู้เดียว

...ด้วยบทรักที่เร่าร้อนที่เธอมอบให้ แต่เขากลับไม่แม้แต่จะแตะต้อง จูบลูบเธอแม้เพียงปลายเล็บ

...ผู้หญิงทุกคนสำหรับเขาคือที่ระบายอารมณ์ที่ใช้แค่ครั้งเดียวจ่ายเงินคือจบ เขาไม่สานสัมพันธ์กับผู้หญิงหน้าไหนทั้งนั้น

...ด้วยความที่เขาเป็นคนอารมณ์ร้ายเย็นชาเลือดเย็น ไม่ชอบเสียงดังเพราะฉะนั้นผู้หญิงทุกคนที่เขามีอะไรด้วยเขาจะมัดปากเพราะไม่อยากได้ยินเสียงที่พวกเธอร้องครวญคราง ผู้หญิงทุกคนต้องรับกับอารมณ์ทางเพศที่ป่าเถื่อน รุนแรงของเขาให้ได้

...เขาผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ดุร้ายเลือดเย็นและน่ากลัวแห่งกรุงโรม ใครก็ตามที่คิดจะเป็นศัตรูกับเขาคือรนหาที่ตาย เพราะเขาฆ่าได้ไม่เลือกฆ่าแบบเลือดเย็นที่สุด...

ประเทศไทย (1 อาทิตย์ต่อมา)

“ว่าไงคะอานิภา”

“ข้าวกำลังจะไปสอนพิเศษค่ะ” วันนี้เป็นวันหยุดทุกเสาร์-อาทิตย์ ฉันจะไปสอนหนังสือที่บ้าน น้องณดา เด็กหญิงวัย 5 ขวบแต่เธอพิการเดินไม่ได้ตั้งแต่เกิด

[ใกล้สอบแล้วอาว่าข้าวเลิกทำงานพิเศษได้แล้วนะลูก อาบอกแล้วใช่มั้ยว่าค่าใช้จ่ายข้าวทั้งหมดอาสองคนเตรียมไว้ให้ข้าวแล้ว]

“ข้าวรู้ค่ะ แต่ข้าวแค่อยากช่วยอาบ้าง นะคะรับรองข้าวไม่ทำให้เสียการเรียนแน่นอน” ฉันอธิบายให้อานิภาฟังและรู้ว่าอานิภาเป็นห่วงมากแค่ไหน

[ดื้อจริงนะเรา เอาเป็นว่ายังไงก็ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก อีก 6 เดือนพี่ครินต์จะกลับมาแล้ว อา จะฟ้องพี่เขาว่าเราดื้อ]

“จริงเหรอ ข้าวดีใจที่สุดเลยไม่ได้เจอพี่ครินต์ตั้งสองปี” ฉันยิ้มดีใจแทบจะกรี๊ดอยู่ตรงนี้เลยก็ว่าได้

[งั้นแค่นี้ก่อนนะลูกอาไปซื้อของก่อน]

“ค่ะอานิภา”

หลังจากคุยกับอานิภาเสร็จก็ไปที่บ้านน้องณดา ฉันสอนน้องณดา ทุกวิชา แต่เน้นภาษาอังกฤษเพราะเป็นวิชาที่ถนัด พ่อแม่น้องณดาใจดี เอ็นดูเพราะฉันเป็นคนเดียวที่น้องณดาพูดด้วย เพราะก่อนหน้านี้มีครูเก่งมาสอนแต่น้องณดาก็ไม่พูดด้วยเอาแต่นั่งนิ่ง

แต่กว่าที่จะเอาชนะใจน้องณดาได้ ก็ใช้เวลานานหลายเดือนเหมือนกัน ใครเชื่อเถอะคนเราแค่มีความจริงใจให้คนอื่นเราก็จะได้ความจริงใจนั้นกลับมา

“ข้าวพรุ่งนี้ไปเดินห้างกันมั้ย ตอนเย็นๆ ก็ได้”

“ดีเลยข้าวว่าจะโทรไปชวนฝันอยู่พอดี” ทอฝันเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน เราสองคนรู้จักกันตั้งแต่ ม.3 ชอบอะไรเหมือนๆ กันแต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว

ทอฝันเป็นคนพูดเก่งต่อปากต่อคำไม่ยอมใคร ส่วนฉันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่พูดแค่พูดไม่ทันนางมากกว่า

บทก่อนหน้า
บทถัดไป