บทที่ 3 มาช้าไป
“ตอนบ่ายมีออกไปพบลูกค้าที่ร้านกาแฟนะคะ” เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง คุณศรีเลขาผมก็แจ้งคิวงาน
“ครับ”
ผมตอบกลับไปอย่างรับรู้ แล้วเดินเข้าห้องไปหาลูก
“ทำอะไรครับ” เมื่อเดินไปเห็นลูกชายกำลังง่วนอยู่กับของเล่นผมก็ถามขึ้น
“ต่อเลโก้คับ” น้องเฟสตอบกลับมา
“หิวหรือยัง” เสียเวลาไปกับการประชุมตั้งนาน ถึงลูกจะมีของกินอยู่ก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ข้าวไง
“ไม่คับ เฟสกินขนมแล้ว” น้องเฟสตอบผมกลับมา โดยที่สายตาก็วุ่นอยู่กับเลโก้นั่นแหละ
“ตอนบ่ายพ่อจะออกไปพบลูกค้า น้องเฟสจะไปด้วยหรือรอพ่อที่นี่คับ”
“ไปด้วยคับ” น้องเฟสตอบกลับมา แกคงจะเบื่อที่อยู่แต่ห้องแบบนี้
“ครับ งั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่า จะได้ออกไปทำงานกับพ่อ” ผมชวนลูกไปทานอาหาร แกจะได้ไม่หิวตอนที่ผมกำลังคุยงาน
ร้านกาแฟ...
“น้องเฟสนั่งเล่นรอพ่อก่อนนะลูก พ่อขอคุยงานก่อน” ผมหันไปบอกลูกชายเมื่อถึงเวลานัด
“คับ” น้องเฟสตอบกลับและนั่งที่โต๊ะข้างๆ เล่นเลโก้และลูกบอลคู่ใจที่ติดมือมาด้วย ผมเลยหันกลับมาที่โต๊ะตัวเองเพื่อคุยงานกับลูกค้าที่นัดไว้
จนกระทั่งทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
“เสือ” ผมเรียกเสือให้เก็บเอกสารที่พึ่งทำข้อตกลงและเซ็นสัญญากันเมื่อกี้
วันนี้ผมนัดกับลูกค้าที่ร้านกาแฟไม่ไกลจากบริษัทพอดี เลยโทรแจ้งคุณศรีให้ผมมาพบที่นี่เลย
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ” ลูกค้าลุกขึ้นแล้วยื่นมือมาให้ผม
“ครับ” ผมว่าแล้วยื่นมือกลับไปเพื่อเป็นการให้เกียตริ
รวงข้าว
นี่ก็สองเดือนได้แล้วมั้งหลังรับปริญญาและลาออกจากร้านกาแฟแต่ฉันก็ยังไม่ได้งานทำ เป็นเด็กจบใหม่นี่ลำบากจริงๆ นะ ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็ต้องการแต่คนมีประสบการณ์ แล้วถ้าไม่ให้ฉันทำงานฉันมีประสบการณ์ได้ยังไงล่ะ คนที่เค้ามีประสบการณ์ก็เริ่มจากไม่มีประสบการณ์ก่อนไหม
ฉันเรียนในโรงเรียนในชุมชนเล็กๆ ที่ไม่มีค่าเทอม แล้วที่สำคัญฉันต้องตั้งใจกว่าคนทั่วไปเพื่อให้ได้ทุนเรียน และสุดท้ายความตั้งใจของฉันก็เป็นไปได้ ฉันได้ทุนเรียนในมหาวิทลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง พอฉันอายุสิบแปดปีฉันก็ออกจากบ้านเด็กกำพร้าทันที ฉันไม่อยากอยู่เป็นภาระของแม่ครู ฉันออกมาใช้ชีวิตเองทุกอย่าง ระหว่างที่ฉันเรียนฉันก็ทำงานร้านกาแฟเป็นเด็กเสิร์ฟเพื่อเลี้ยงตัวเอง
พอเรียนจบฉันก็อยากหางานที่ตรงกับสายของตัวเอง และได้เงินที่มากกว่าเดิมเพราะฉันต้องช่วยเหลือที่บ้านเด็กกำพร้าที่เลี้ยงดูฉันมาและเพื่อน้องๆ ด้วย แต่ก็อย่างว่าคนที่เกิดมาไม่ได้มีฐานะอะไรกับชีวิตเลยแบบฉันมันก็แย่นะ ต้องดิ้นรนเองทุกอย่าง
ก็เหมือนตอนนี้ไม่ว่าจะได้ไปสัมภาษณ์ที่ไหนๆ ต่างก็พูดเป็นแบบเดียวกันว่า เดี๋ยวทางเราติดต่อไปนะคะ... แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีที่ไหนติดต่อมาสักที่เลย แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้งานสักทีล่ะเนี่ย เด็กใหม่ไร้เส้นแบบฉันก็ต้องทำใจ
“นั่นเด็กที่ไหนออกมาวิ่งเล่นข้างทางเนี่ย แล้วพ่อแม่ไปไหนไม่ดูลูก หากเกิดเป็นอะไรขึ้นมาเดี๋ยวก็ได้โทษคนอื่นอีก” ฉันบ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะตอนนี้ฉันกำลังเดินกลับร้านกาแฟที่ตัวเองเคยทำงานอยู่หลายปี แต่ก็เห็นเด็กอยู่ริมฟุตบาทโดยไร้ผู้ปกครอง
ฉันเลยตั้งใจจะเดินไปหาเด็กคนนั้นเพื่อถามหาพ่อกับแม่เค้า เด็กอยู่ข้างถนนแบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่หรอก เกิดวิ่งไปกลางถนนขึ้นมารถได้ชนกันพอดี
แต่เดี๋ยวนะ!
“หนูอย่าวิ่ง!” ฉันที่คิดยังไม่ทันจบ และเดินยังไม่ถึงเด็กคนนั้น ก็ต้องตะโกนเรียกออกมาเพราะเด็กคนนั้นกำลังวิ่งตามของเล่นตัวเองที่กำลังกลิ้งไปทางถนน ฉันเลยรีบสาวเท้าวิ่งเพื่อจะไปจับเด็กคนนั้นไว้
แต่...
“อย่าาาาา!” ฉันต้องร้องออกมาสุดเสียง แค่ปลายมือเอื้อมเท่านั้นที่กำลังจะจับเด็กคนนั้นไว้ทัน ฉันจะจับเด็กคนนั้นไว้ได้แล้ว อีกไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่ทุกอย่างก็ผิดพลาด ฉันมาช้าไปใช่ไหม
พายุ
เอี๊ยดดดด!!! โครม!!!
อยู่ๆ ก็มีเสียงล้อบทลากกับพื้นถนนดังขึ้นหน้าร้าน มันเหมือนเสียงอุบัติเหตุรถชน ทำให้ผมรีบมองหาน้องเฟสลูกชายของผมทันทีตามสัญชาตญาณความเป็นพ่อ
“เฟสล่ะ!” ผมหันไปถามเสือที่ทำหน้าที่เป็นมือขวาในการทำงาน เสือหันมองซ้ายมองขวาทั่วร้าน
“ไม่เห็นครับ” เสือตอบกลับมาด้วยอาการร้อนรน ผมรีบวิ่งไปดูหน้าร้านเหมือนคนอื่นๆ หวังว่าจะไม่ใช่ลูกผมนะ ปกติแกจะเชื่อฟังผม ผมบอกให้รอในร้านแกจะไม่ออกมาแน่นอน
เมื่อวิ่งออกไปผมก็เห็นผู้หญิงหน้าคุ้นๆ คนหนึ่งได้แต่ยืนอึ้งตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ผมเลยเดินแหวกผู้คนเข้าไปใกล้เหตุการณ์กว่าเดิม
“คุณพายุครับ! คุณหนู” เสียงของเสือเรียกความสนใจของผมให้หันไป
“เกิดอะไรขึ้น!” ผมถามเสือออกไปเสียงแข็งพร้อมกับก้าวเท้าไปหาเสือ
และสิ่งที่ผมเห็น...
