บทที่ 4 บทที่ 2 กงเกวียนกำเกวียน 50%
บทที่ 2 กงเกวียนกำเกวียน
ใบหน้าหล่อร้ายกับดวงตาสีดำสนิทเหม่อลอยจดจ้องมองเพดาน และแสงไฟสลัวที่กำลังกะพริบไปตามเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มรอบด้าน ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดส่งผ่านเข้าไปในความรู้สึกของผู้ชายที่เหมือนจะมีเพียงร่างกายแต่ไร้วิญญาณ
เกือบสามปีแล้วที่เขากลายเป็นคนไม่มีหัวใจ ตั้งแต่คืนนั้น คืนที่เขาปล่อยให้อารมณ์ฝ่ายต่ำทำลายทุกอย่างที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ความไว้วางใจเพียงหยิบมือจากเจ้าของดวงตาหวานโศกคู่นั้นสูญสลายกลายเป็นเพียงอากาศเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ และตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เคยได้พบเธออีกเลย
“ไอ้จิณณะ” เสียงห้าวจาก ‘อารักษ์ หรือเจท’ เพื่อนสนิทที่คบหากันมาร่วมสิบปีทำให้สติที่กำลังดำดิ่งจมปลักกับอดีตอันมืดมนหวนคืน ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรงๆ สองสามครั้ง ก่อนพยักหน้าตอบรับเพื่อน
“ว่าไงวะ”
“มึงเป็นอะไรวะ กูเห็นนั่งเหม่อมาร่วมชั่วโมงแล้ว”
‘จิณณวัตร’ ทำเพียงถอนหายใจยาวเหยียดแทนการตอบคำถาม ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร รู้สึกอะไร และคิดอะไรอยู่กันแน่
ท้อแท้ สิ้นหวังหรือ… คงใช่ เขากำลังหมดเรี่ยวแรงที่จะตามหาเจ้าของดวงตาหวานโศกที่อยู่ในหัวใจมาตลอด 17 ปี เธอหายไป หายไปเลยเหมือนไม่เคยมีตัวตนบนโลกใบนี้ เขาเฝ้าตามหาตัวเธอจนแทบพลิกแผ่นดินก็ไม่พบ ไม่แม้กระทั่งรู้ว่าหลังจากคืนนั้นเธอหายไปไหน พี่ชายเพียงคนเดียวของเธอที่เขาเคยสนิทชิดเชื้อก็กลายเป็นคนอื่น เก็บตัว และไม่เคยปริปากถึงน้องสาวบุญธรรมอีกเลยคล้ายอีกฝ่ายไม่ต้องการให้คนนอกถามไถ่ ไม่ต้องการพบปะใครอีก เขาหมดสิ้นทุกอย่าง ความหวังเลือนรางในอดีตจางหายลงไปในความมืดมิดจนหมดสิ้น
ลิลลาจากไปแล้ว จากไปโดยไม่ล่ำลาเขา และไม่ฟังความจริงจากปากของผู้ชายที่ครั้งนึงเธอเคยเกลียดชังบ้างเลย
‘หนูเกลียดพี่ เกลียด เกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตาย!’
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาและเธอได้พูดคุยกัน และนั่นก็เป็นเหมือนมีดเล่มใหญ่ที่คอยทิ่มแทงหัวใจของเขาเรื่อยมา
“มึงโอเคไหมวะ” เสียงทุ้มจากใบหน้าหวานเรียบนิ่งของ ‘หนึ่งบดินทร์ หรือมายด์’ ยิ่งกระแทกหัวใจของผู้ชายที่กำลังหมดหวัง
โอเคหรือ… ทุกวันนี้เขาไม่รู้จักคำว่าความสุขอีกเลยตั้งแต่คืนนั้น สิ่งเลวร้ายที่ทำลงไปมันย้อนกลับมาทำให้หัวใจดวงนี้ชอกช้ำ และด้านชาจนไม่อาจเปิดรับใครได้อีก
เขาต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานจากความรู้สึกผิดทุกค่ำคืน ไม่เคยมีวันไหนที่จะข่มตาหลับได้โดยไม่ฝันเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตากับคำพูดตัดรอนจากริมฝีปากบางได้เลย มันยังคงตามหลอกหลอน และเหมือนจะเป็นการย้ำเตือนให้เขารู้ว่าตนเองเลวระยำแค่ไหน ที่สำคัญยังเป็นแรงผลักดันให้เขายังคงเฝ้าตามหาเธอตลอดมา
“หรือว่ามึงยังคิดเรื่องนั้นอยู่ แต่นี่…” ใบหน้าหล่อทะเล้นกับดวงตารีเรียวของอารักษ์ไหววูบ ที่ผ่านมาเขารับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่ทั้งหมด ทว่าสิ่งที่สำคัญคือการที่จิณณวัตรเฝ้าตามหาผู้หญิงคนหนึ่งมาร่วมสามปี แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาไม่พบ ขนาดว่าแทบพลิกแผ่นดินก็ยังไม่พบ เขา และหนึ่งบดินทร์เคยพยายามออกปากจะช่วย แต่ดูเหมือนความต้องการของจิณณวัตรคือการเก็บเงียบ และตั้งหน้าตั้งตาตามหาหญิงสาวคนนั้นเพียงลำพัง
“จะสามปีแล้วนะ” หนึ่งบดินทร์เป็นคนต่อประโยคเมื่อครู่ด้วยตัวเอง ใบหน้าหวานละมุนกับดวงตากลมหวานมองเพื่อนรักด้วยความเห็นใจ
การรอคอย… แม้เพียงวันสองวันก็เหมือนสิบปี นี่เพื่อนของเขารอคอยมา 17 ปีไม่ต่างจากเขาด้วยซ้ำ แต่ที่ต่างกันคือเขาไม่ต้องพบการสูญเสีย แต่จิณณวัตรพบเจอยิ่งกว่าคำว่าสูญเสีย เพราะมันคือการสูญสิ้นจนแทบไม่เหลือชิ้นดีอะไรเลย
“ยังไม่เจอเหรอ”
คำถามของเพื่อนเหมือนหอกแหลมที่แทงทะลุหัวใจ จิณณวัตรก้มหน้า มือที่ถือแก้วเครื่องดื่มสีอำพันสั่นเกร็ง ใบหน้าหล่อร้ายที่ครั้งนึงเคยมีแต่ความมั่นใจกลายเป็นความหดหู่จนไม่กล้าสู้หน้าใคร
“ยัง” เขาเหนื่อยเหลือเกิน อ่อนล้าจนแทบหมดแรงกับการพยายามตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง แม้จะพยายามทุ่มเทอย่างไร แต่คนที่ต้องการหนีก็ย่อมทำได้ดีกว่าคนที่พยายามตามหา เมื่อสองปีก่อนหลังจากที่เขาพลิกแผ่นดินตามหา ‘ลิลลา’ แต่ไม่พบ เช้าวันที่ฝนตกหนักเขาตั้งใจไปพบ ‘กีรติ’ พี่ชายบุญธรรมของลิลลาด้วยความคาดหวัง ทว่าเพียงแค่กีรติเห็นใบหน้าของเขาอีกฝ่ายก็ออกปากไล่ และบอกว่าไม่ต้องการพบใครทั้งนั้น เขาไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจเลยว่าเหตุใดพี่ชายที่รักน้องสาวยิ่งกว่าสิ่งใดถึงปล่อยให้ลิลลาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กระทั่งเขาเริ่มสืบจากตัวกีรติเองจนพบว่าชายหนุ่มมีบางอย่างปิดบังเอาไว้ แต่อิทธิพล และอำนาจในมือของเจ้าของสโมสรฟุตบอลก็มากพอจะทำให้เขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เขาเฝ้าบอกตัวเองว่าลิลลาคงอยู่ในการดูแลของกีรติ เพราะชายหนุ่มเป็นญาติคนเดียวที่หญิงสาวเหลืออยู่
ทุกคนเงียบโดยไม่ต้องบอกกล่าวด้วยรับรู้ได้ผ่านแววตาว่าเพื่อนกำลังทุกข์หนัก ยิ่งเวลาผ่านไป ความหวังลมๆ แล้งๆ ที่จิณณวัตรเฝ้าบอกตนเองยิ่งเลือนรางเข้าไปทุกที แม้จะพยายามบอกว่าอย่างน้อยลิลลาก็ยังมีชีวิตอยู่ และคงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวกีรติ ทว่าไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนเขาก็ไม่อาจตามหาตัวหญิงสาวได้เลย ไม่เคยเลยแม้กระทั่งข่าวว่าหลังจากคืนนั้นหล่อนเป็นเช่นไรบ้าง
อารักษ์เหลือบมองเพื่อนสนิทเพียงครู่ ก่อนถอนหายใจแล้วเอื้อมมือไปแตะบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “เดี๋ยวก็เจอเว้ย”
เดี๋ยวหรือ… จิณณวัตรอยากจะหัวเราะกับกำลังใจของเพื่อน เพราะรู้ดีว่ามันไม่มีหวังเลย หากการหายไปของลิลลาเป็นความต้องการของเธอ และเป็นประสงค์สูงสุดของกีรติต่อให้เขาพลิกแผ่นดินตามหาจริงๆ ก็คงไม่มีวันได้เจอ อิทธิพลกับบารมีของกีรติมากพอๆ กับพี่ชายคนโตของเขา อาจมากกว่าด้วยซ้ำ ที่สำคัญแม้กระทั่งบิดาของเขาเองยังเกรงใจในตัวบิดาของอีกฝ่าย นับหน้าถือตากันเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ากระโตกกระตากทำอะไรให้ใครสงสัย
เขากลัว… กลัวว่าหากเรื่องราวเลวระยำของตนเองเข้าหูกีรติหรือบิดา แม้แต่ใบหน้าของหญิงสาวเขาอาจไม่มีโอกาสได้เห็นอีกเลยตลอดชีวิต…
“ถึงที่ทำงานแล้วใช่ไหม”
(“ถึงแล้วค่ะ”) เสียงปรายสายรายงานตอบกลับมาก่อนที่จะขอตัววางสายไป
กีรติจึงเก็บโทรศัพท์มือถือก่อนหันมาสนใจเจ้าตัวแสบที่กำลังนอนมองตาแป๋วอยู่บนคาร์ซีท ดวงหน้ากลมป่องนั้นมีร่องรอยของความเหมือนใครสักคนจนเขาเริ่มสับสน ถ้ายังคงสงสัยอยู่เช่นนี้ต่อไปเขาคิดว่าตัวเองอาจเป็นบ้าไปในสักวัน
“ทำไมเราหน้าคุ้นแบบนี้ฮึ” กล่าวทีเล่นทีจริงก่อนจะโน้มตัวไปปลดเข็มขัดให้เจ้าตัวแสบแล้วโอบอุ้มร่างอวบป้อมลงจากรถ
“ทูนหัวของป้ามาแล้วเหรอคะ” ป้าสายใจแม่บ้านวัยชราผู้เป็นคนเก่าคนแก่ของครอบครัววิ่งออกมารับ ‘ทูนหัว’ ของแกด้วยแววตาเปี่ยมรัก ตามหลังมาด้วยน้อยกับนิดสองเด็กสาวฝาแฝดหลานของนายธนูคนสวนที่อยู่ดูแลกันมานาน
กีรติคลี่ยิ้ม ก่อนเดินนำคนในบ้านของตัวเองเข้ามายังห้องรับแขก ข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงของเล่นของกานต์รักถูกนำออกมาเตรียมพร้อม คอกกั้นสำหรับเด็กที่อีกไม่กี่เดือนคงไม่สามารถป้องกันการปีนป่ายของ ‘ไอ้แสบ’ ได้อีกต่อไป เพราะนับวันกานต์รักจะตัวสูงขึ้น รูปร่างก็ดูจะอวบขึ้นไปด้วย กระทั่งเขามานั่งมองหลานดีๆ จึงเห็นว่าแขนขาเป็นปล่องจนแทบจะเป็นก้อนกลมๆ นั่นแหละ ถึงได้ตั้งใจจะหยุดตามใจหลานชายไปสักพัก
“วันนี้นายเจตเอาเอกสารมาให้ผมหรือยังครับ” ชายหนุ่มถามหาเอกสารของหุ้นส่วนที่เจ้าตัวแจ้งว่าเช้านี้จะนำมาฝากไว้ให้
“ยังเลยค่ะ ป้าไม่เห็นเลยนะคะ นังน้อยนังนิดแกสองคนเห็นคุณเจตพลเอาอะไรมาฝากไว้ไหม”
“ไม่เห็นเลยค่ะ”
ใบหน้าของกีรติส่ายไปมาเมื่อได้คำตอบ แม้จะปลงได้บ้างว่า ‘หุ้นส่วน’ ของตนเองไม่ใช่คนมีความรับผิดชอบสูงขนาดนั้น ทว่าก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไว้วางใจไม่ได้ขนาดนี้ เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นรายละเอียดสัญญาซื้อขายนักฟุตบอลของสโมสร แม้เจตพลจะเป็นเพียงแค่หุ้นส่วนลับ แต่ก็ควรจะมีความสนใจในธุรกิจมากกว่านี้
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรไปทวงเอง ฝากป้าสายใจดูแลเจ้าแสบทีนะครับ” ใบหน้าของหญิงชราพยักรับในทันที ก่อนจะเดินเข้าไปรับร่างป้อมมาอุ้มแนบอก สองสาวฝาแฝดเห็นดังนั้นก็กรูเข้ามาหยอกล้อคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู
กีรติปล่อยหลานให้ป้าสายใจดูแลเรียบร้อย เมียงมองเห็นเจ้าตัวแสบของเขาหัวเราะชอบใจกับการหยอกล้อของนิดและน้อยจึงเดินขึ้นไปที่ห้องทำงานส่วนตัวเพื่อพูดคุยธุระให้เสร็จ ชายหนุ่มกดเบอร์ส่วนตัวของหุ้นส่วนโดยไม่ต่อสายหาเลขาของอีกฝ่ายเพราะร้อนใจในเรื่องงาน เอกสารเหล่านั้นเขาต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะการซื้อขายนักเตะของสโมสรจะมีเรื่องผิดพลาดไม่ได้ รอสายอยู่นานปลายสายจึงกดรับพร้อมกรอกเสียงถามด้วยความงัวเงีย
(“หือ ว่าไงไอ้กี้”)
กีรติถอนหายใจยาวเหยียด ให้เดาคงหนีไม่พ้นคำว่า ‘ลืม’ อีกเป็นแน่
“ไหนเอกสารของฉัน”
“ตายห่า! โอ๊ย” เสียงตุบตับเหมือนอะไรหล่นพื้นทำให้คิ้วของชายหนุ่มเลิกสูง นั่นคงไม่ใช่ว่าตกเตียงหรอกนะ “โทษที อูย เอ่อ โทษทีลืมว่ะ”
คนที่เกือบสงสารคนตกใจจนตกเตียงส่ายหน้า ถอนหายใจยาวเหยียดอีกรอบด้วยความระอาใจ
“ฉันต้องการอ่านเอกสารวันนี้ก่อนเที่ยง ทำยังไงก็ได้ให้เอกสารมาถึงมือฉัน ไม่งั้นแกกับฉันเราเห็นดีกันแน่!”
ชายหนุ่มตัดสายทันทีที่กล่าวจบ ก่อนถอนหายใจแรงๆ อีกสักครั้งให้นิสัยของหุ้นส่วนซึ่งพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทของตน เจตพลเป็นเพื่อนรักที่เขาสนิทสนมมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล เหตุเพราะบิดามารดารู้จักมักคุ้นกัน ที่สำคัญรั้วบ้านก็อยู่ห่างกันสองสามหลังคาเรือน แม้จะเป็นคนไม่เอาอ่าว แต่ก็ไม่ใช่คนเหลวไหล กีรติเชื่อเสมอว่าเพื่อนไม่ใช่คนเชื่อถือไม่ได้ หากแต่อีกฝ่ายเพียง ‘ขี้เกียจ’ ทำตัวให้น่าเชื่อถือ เพราะไม่อยากรับหน้าที่ดูแลงานในบริษัทช่วยพี่ชายคนโตเท่านั้นเอง
“ชิบหายแล้ว สงสัยไอ้กี้โกรธจริง” คนโดนเพื่อนโกรธลุกพรวดจากพื้นห้องขึ้นยืน สายตาเหลือบมองร่างแน่งน้อยเปลือยเปล่าที่นอนขดตัวบนเตียงแล้วเงยมองนาฬิกาบนพนัง
“เก้าโมง!” เข็มสั้นชี้เลข 9 บอกเวลาเก้าโมงเช้าทำให้ใบหน้าของคนโดนเพื่อนโกรธซีดเผือด ตอนนี้เขาอยู่อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ระยะเวลาในการเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก็สามชั่วโมง หากเขาเร่งรีบหน่อยก็สองชั่วโมงนิดๆ ทว่ากว่าจะขับรถไปที่ทำงาน กว่าจะหาเอกสาร กว่าจะเอาไปส่งคงกินเวลาเป็นชั่วโมง ที่สำคัญตอนนี้สภาพเขายังเมาขี้ตาหน้าไม่ได้ล้าง กว่าจะแต่งตัวอาบน้ำ ปลุกหญิงสาวก็คงใช้เวลาอีกเกือบสามสิบนาที
“บรรลัยแล้วตู ไอ้กี้เอาตายแน่ ทำไงดีวะ ทำไงดี!”
วินาทีที่คนตื่นตกใจกำลังหัวหมุนใบหน้าของน้องชายคนสุดท้องก็ผุดแทรกขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนรอดตายปรากฏชัดก่อนมือหนาจะเร่งควานหาเครื่องมือสื่อสารเพื่อโทรขอความช่วยเหลือจากน้องชายสุดที่รักด้วยความรีบเร่ง
รอสายเพียงไม่นาน ปลายสายก็กดรับพร้อมกรอกเสียงตามสายถามมาด้วยอาการแปลกใจ
(“ว่าไงพี่เจต”)
เจตพลยิ้มกว้าง ดวงหน้าหล่อร้ายฉายแววเจ้าเล่ห์พลางกระแอมตอบ “อะแฮ่ม แกว่างอยู่ไหม”
“ว่าง?” หัวคิ้วคนถูกถามว่าว่างไหมแทบจะชนกัน ความแปลกใจในน้ำเสียง และคำถามทำให้น้องชายที่ร้อยวันพันปีพี่ชายไม่เคยโทรหาเกิดอาการระแวงระวังขึ้นมา
“แหม ทำไมทำเพียงประทับใจขนาดนั้นวะ” พี่ชายผู้ไม่ค่อยโทรหาน้องหัวเราะร่า พลางส่ายหน้าให้ความรู้ใจกัน “พี่โทรหาน้องมันแปลกตรงไหน”
แปลกตรงนี้แหละ!
“เอาดีๆ พี่โทรหาผมเพื่อ?”
เจตพลหยุดหัวเราะ ด้วยน้องชายรู้ใจยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก ชายหนุ่มเลิกลีลาเพราะจะเสียเวลามากไปกว่าเดิม
“ไปเอาเอกสารที่บริษัทให้พี่หน่อย”
“เอกสารอะไร?”
