บทที่ 5 บทที่ 2 กงเกวียนกำเกวียน 100%

(ต่อ)

“ไปเอาเอกสารที่บริษัทให้พี่หน่อย”

“เอกสารอะไร?”

“เอกสารเรื่องสัญญาซื้อขายนักเตะของอินทรีเหล็กไงเจอแล้วเอาไปส่งให้ไอ้กี้ด้วย แท้งกิ้วมากน้องชาย อ่อ ก่อนเที่ยงของวันนี้นะ อย่าลืมล่ะ บาย”

ตัดสายทันทีที่สั่งงานจบ ไม่เหลือเวลาให้น้องตั้งตัวหรือกล่าวปฏิเสธ ด้วยรู้ดีว่าหากจิณณวัตรได้ยินชื่อกีรติไม่ว่าเรื่องอะไรย่อมไม่กล้าขัดใจแน่นอน

สัญญาณตัดไปแล้วเหลือทิ้งไว้แต่เพียงความมึนงงในคำพูด และคำสั่งของผู้เป็นพี่ จิณณวัตรวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะข้างตัว ใบหน้าหล่อเหลาคมสัน ดวงตาคมดุเหมือนบิดาเหลือบมองกองเอกสารงานของตัวเองแล้วถอนหายใจ ชายหนุ่มส่ายหน้า หากไม่ลืมเงยมองนาฬิกาเพื่อกะระยะเวลาให้พอเหมาะ ครั้นเห็นว่ายังพอเหลือเวลาอีกโขจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่ออีกสักครู่ ความเงียบที่แทรกเข้ามาทำให้ชื่อของผู้เป็นหัวข้อสนทนาวนเวียนกลับมาให้เขาอึดอัดใจ

กีรติ… พอพูดถึงพี่ชายข้างบ้านก็พาลให้นึกถึงน้องสาวบุญธรรมของอีกฝ่าย เกือบสามปีในความเป็นจริงแต่เป็นสามสิบปีในความรู้สึกของเขา ทุกครั้งที่เห็นหลังคายังไม่ต้องเห็นบ้านหัวใจก็ร้าวรานจนแทบจะขาดรอน

ลิลลาจะเป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีหรือไม่ มีรอยยิ้มแย้มสรวลเช่นอดีตบ้างไหม

เขาคิดถึง… คิดถึงช่วงเวลาที่เธอยังเยาว์วัย น่ารัก น่าเอ็นดู แต่แสนจะดื้อเงียบ 17 ปีแล้วที่เขารู้จักมักคุ้นกับครอบครัวของเธอ ทว่าเป็น 17 ปีที่เขาทำตัวร้ายกาจไว้กับ ‘น้องสาว’ จนอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขหลายต่อหลายครั้ง ทว่า… มันคงช้าเกินไป

ชายหนุ่มถอนหายใจเพื่อหยุดความคิดถึงเรื่องของลิลลา ก่อนต่อสายออกไปหาลูกน้องคนสนิทเพื่อสั่งงาน

(“ครับนาย”)

“ฉันจะออกไปธุรกิจสักสี่ห้าชั่วโมงนะ มีอะไรด่วนค่อยโทรตาม”

(“ครับ”)

ชายหนุ่มวางสายจากลูกน้อง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสากลสีดำ เค้าโครงหน้ารูปไข่มีเหลี่ยมกรามตามแบบหนุ่มใต้ทางฝั่งบิดา ดวงตารีเรียวดุดันเหมือนผู้เป็นพ่อเช่นกัน ทว่าจมูกโด่ง ริมฝีปากหยักรูปหัวใจกลับไม่เหมือนทั้งพ่อ และแม่ แต่ไปเหมือนคุณอาชาวเกาหลีของเขาเสียอย่างนั้น จิณณวัตรเครื่องหน้าหล่อเหลาแต่ออกร้ายกาจ ใบหน้าออกแนวดุดันแต่ไม่ถึงกับคมเข้มเช่นพี่ชายคนโต ส่วนพี่ชายคนรองถอดแบบผู้เป็นมารดาออกมาทุกกระเบียดนิ้วทั้งดวงตากลมโต ริมฝีปากบางสวยจนเจ้าตัวบ่นอุบหลายต่อหลายครั้งว่าไม่อยากสวยเหมือนแม่ แต่อยากหล่อเหมือนพ่อ

ครอบครัวของเขาเป็นมาเฟีย บิดามีกิจการบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดทางภาคใต้ ส่วนมารดาเป็นผู้ดีเก่า ทว่าปัจจุบันท่านทั้งสองพักผ่อนอยู่ที่เกาะส่วนตัวในจังหวัดพังงา นานทีปีหนจึงจะมาเยี่ยมเยียนบุตรชายที่เริ่มแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ‘จักรภพ’ ผู้เป็นพี่ชายคนโตทำหน้าที่บริหารงาน KNK Construction ต่อจากบิดา ส่วน ‘เจตพล’ พี่ชายคนรองทำตัวเหมือนไม่ทำงานทำการอะไรเอาแต่ลอยไปลอยมาเป็นพ่อมาลัยไปวันๆ แต่ความจริงอีกฝ่ายกำลังทำงานให้กับองค์กรสีเทาซึ่งเป็นงานลับของบิดาอยู่ ส่วนตัวเขาเองดูแลกิจการด้านบันเทิงหลายแห่ง เขาไม่ชอบงานด้านบริหารที่ต้องใช้หัวคิดมากเช่นพี่คนโต แต่ก็ไม่ชอบเสี่ยงตายกับกระสุนเหมือนพี่คนรอง ดังนั้นงานด้านธุรกิจบันเทิงจึงเป็นสิ่งที่เขาเลือกทำ

จิณณวัตรออกจากคอนโดในเวลา 09.30 น. ชายหนุ่มขับรถตรงไปยังบริษัทของครอบครัวเพื่อรับเอกสารที่เพิ่งโทรแจ้งคนของพี่ชายคนโตให้ช่วยหาไว้ให้ ซึ่งส่วนใหญ่เอกสารไม่ลับเจตพลจะทิ้งกองพะเนินไว้ที่บริษัทของครอบครัว ไม่ได้นำติดตัวไปไหนต่อไหน หรือทิ้งไว้ที่เซฟเฮาส์ของบิดาแต่อย่างใด

ไม่ถึงยี่สิบนาทีรถสปอร์ตสีดำก็เคลื่อนเข้าสู่ลานจอดรถของ KNK Construction ชายหนุ่มก้าวลงจากรถอย่างไม่เร่งรีบ อย่างไรก็เข้ามาบริษัทแล้วก็เลยถือโอกาสจะเข้าไปทักทายพี่ชายคนโตเสียหน่อย เพราะนานแล้วที่ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากัน

“สวัสดีครับคุณจิณณะ” ร่างท้วมสวมสูทสีกรมเดินตรงเข้ามาหา สองไม้สองมือเต็มไปด้วยแฟ้มงาน และเอกสารของบริษัท จิณณวัตรยิ้มรับ ก่อนกล่าวทักทายอีกฝ่ายกลับด้วยความคุ้นเคย

“สวัสดีครับคุณจตุพล”

“ผมให้เลขาของคุณเจตหาเอกสารไว้ให้แล้วนะครับ”

ชายหนุ่มยิ้มแย้มตอบรับ ก่อนเอ่ยถามหาพี่ชายคนโตบ้าง

“ขอบคุณครับ วันนี้พี่จักรเข้าบริษัทใช่ไหมครับ”

อีกฝ่ายนิ่งคิดไปชั่วครู่จึงตอบ “เข้าครับ แต่เข้าเที่ยงๆ ครับ คุณจิณณะจะให้ผมโทรแจ้งท่านประธานก่อนไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่จะแวะเอาของให้พี่เจต เลยว่าจะไปทักทายพี่จักร เดี๋ยวไว้วันหลังผมแวะมาใหม่ดีกว่าครับ”

จิณณวัตรกล่าวจบก็เดินนำเลขาคนสนิทของพี่ชายคนโตเข้าบริษัทเพื่อตรงไปยังห้องทำงานของพี่ชายคนรองทันที ชายหนุ่มรับเอกสารของพี่ชายคนรองเสร็จเรียบร้อยก็กลับออกมาขึ้นรถ แล้วขับรถตรงไปยังบ้าน ‘เอื้ออรัญวัฒน์’ ทันที

หลังคาสีเขียวกับตัวบ้านสีขาวร่มรื่นใหญ่โตไม่แพ้บ้านเรือนในบริเวณนี้ ถัดจากบ้านหลังคาสีเขียวสามหลังก็คือบ้านหลังคาสีแดงซึ่งที่นั่นคือจุดหมายของเขา จิณณวัตรขับเคลื่อนรถสปอร์ตคันหรูผ่านประตูรั้วเหล็กใหญ่ของบ้าน ‘ภูวอัศนัย’ ด้วยแววตาเหม่อลอย ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อสามปีก่อนเขาก็ตัดสินใจย้ายออกจากบ้านเพราะความทุกข์ทรมานกับภาพความทรงจำในอดีต ชายหนุ่มคิดว่าเมื่อไปอยู่ที่อื่นภาพเหล่านั้นคงเลือนรางลงไปบ้าง ทว่าตรงกันข้ามมันกลับชัดเจนขึ้นในความทรงจำของเขา

‘ทำไมบ้านพี่จักรหลังคาสีเขียวล่ะคะ’ เสียงเจื้อยแจ้วกับดวงตากลมหวานโศกของลิลลาจ้องเป๋งสอบถามหาสาเหตุของสีหลังคาบ้านที่ต่างกันด้วยความสนอกสนใจ

‘ลินจะได้แยกออกไง สีเขียวบ้านพี่ส่วนสีแดงบ้านลิน’ คนตัวเล็กเม้มปากทำสีหน้าครุ่นคิดใหญ่โตก่อนพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ แต่ก็ไม่ลืมแย้งบอกด้วยว่าบ้านหลังคาสีแดงนั้นไม่ใช่บ้านของตน

‘ไม่ใช่บ้านลินนะคะ บ้านพี่กี้ต่างหาก’

คำตอบซื่อๆ กับใบหน้าหวานเชื่อมดวงตาซื่อใสในอดีตเรียกเสียงหัวเราะของจักรภพ เจตพล และกีรติ ยกเว้นเพียงเขาที่ทำเพียงเมียงมองจ้องเขม็งยัยตัวเล็กบางผิวขาวซีดด้วยแววตาอริโดยไร้สาเหตุ

เมื่อก่อน… เขาหวนนึกถึงความสัมพันธ์ที่ยังคงมีเส้นใยบางๆ กางกั้นไว้ เด็กหญิงตัวเล็กจ้อยผิวขาวละเอียด ดวงหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตากลมโตหวานโศกตรึงใจน่ารักน่าเอ็นดูจนพี่ๆ ของเขาลุ่มหลง ตามอกตามใจกันจนเคยตัว กระทั่งลิลลาโตขึ้นเค้าความสวยยังคงมีมาก แต่รูปร่างเริ่มอวบอิ่มขึ้น ผลจากการร่ำเรียนอย่างหนักทำให้หลงลืมดูแลตัวเองไปจนกลายเป็น ‘ยัยอ้วน’ ในที่สุด ทว่าหญิงสาวไม่ได้อวบอ้วนถึงเพียงนั้น หากแต่เขาอยากหยอกล้อ เหตุเพราะชื่นชอบใบหน้ามู่ทู่ของอีกฝ่ายจึงมักขานเรียกยัยอ้วนเสมอมา ฉายาที่เขาเพียงตั้งเล่นๆ กลับส่งผลต่อความมั่นใจของหญิงสาวจนสุดท้ายลิลลากลายเป็นเด็กเงียบขรึม เก็บตัว มีปมในใจเรื่องรูปร่างหน้าตาในที่สุด

เขามารู้สึกผิดในวันที่สาย เด็กหญิงตัวจ้อยผิวขาวตาหวานโศกกลายเป็นเด็กมีปัญหา เขาอยากขอโทษ และเริ่มต้นใหม่กับเธอ หากก็ช้าเกินไปเมื่อมีผู้ชายอีกคนเข้ามาเสียก่อน

“พี่ขอโทษนะลิน” ขอโทษที่เขามักแสดงทีท่าร้ายกาจต่อเธอ กลั่นแกล้ง ยั่วเย้าให้อีกฝ่ายโมโหจนถูกเกลียดชังในที่สุด ความสัมพันธ์ของเขา และลิลลากลายเป็นอริกันจนไม่แม้แต่จะมองหน้ากันดีๆ ไม่ใช่เขาที่ตั้งท่าเกลียดชังต่อต้าน แต่เป็นลิลลาที่โกรธขึงจนไม่ต้องการคบหาสมาคมกับเขาอีก

ทุกวันนี้เขายังนึกสับสนกับความรู้สึกในวัยเยาว์ของตนเอง หากพอมานั่งทบทวนดีๆ แล้วเขาเพิ่งรู้ตัวเองว่าสาเหตุที่ทำตัวร้ายกาจกับหญิงสาวตั้งแต่เล็กจนโตคงเพราะ… รัก จากที่เคยคิดว่าเมื่อก่อนตนเองคงโกรธที่ถูกแทนที่ เพราะเมื่อลิลลาเข้ามา ตำแหน่งน้องคนเล็กของเขาก็ถูกแย่งไป ทว่าพอมาทบทวนแล้วตำแหน่งนั้นไม่ได้สำคัญสำหรับเขาเลย เพราะทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้พิศวาสการตามอกตามใจของพี่ๆ อีกแล้ว หากกลับเอาแต่คิดถึงดวงหน้าหวานกับดวงตากลมโศกคู่นั้นอยู่เสมอ

จิณณวัตรถอนหายใจให้อดีตที่เลวร้ายของตนเอง ความโง่เขลาเพราะคิดว่าอย่างไรเสียลิลลาก็ไม่มีวันไปไหน อย่างไรเธอก็ต้องอยู่ใกล้ตัวเขาเรื่อยไป รวมไปถึงไม่ว่าจะหนียังไงเขาก็มั่นใจว่าจะตามเธอพบ แต่ความมั่นใจในอดีตกลายเป็นหอกแหลมทิ่มแทงหัวใจตนเองจนถึงทุกวันนี้

เขายอมรับว่าตนเองชอบรังแก และแสดงทีท่าร้ายกาจต่อลิลลา ทว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาเกิดจากความสับสนในหัวใจ ช่วงเวลาที่ลิลลาเข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านเอื้ออรัญวัฒน์เขารู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มบางสิ่งที่ขาดหายไป ใบหน้าเรียวรูปไข่กับดวงตากลมโตหวานเชื่อมนั้นสะท้อนไปมาในความฝันทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ความเป็นคนมั่นใจในตัวเอง ยิ่งทะนง และปากแข็งจึงแสดงออกด้วยวิธีที่ตรงข้ามกับความรู้สึก กระทั่งสิ่งที่เขากระทำลงไปส่งผลระยะยาวต่อหัวใจของฝ่ายหญิงซึ่งยิ่งนานมันยิ่งกลายเป็นปมผูกแน่นจนแก้ไขไม่ได้อีกต่อไป

หลังจากจมอยู่กับความรู้สึกผิด และตราบาปในใจจนรถเคลื่อนสู่หน้าประตูรั้วเหล็กสีขาวขนาดใหญ่ ชายหนุ่มจึงบีบแตรเรียกลุงธนูคนสวนของบ้านเอื้ออรัญวัฒน์เพื่อบอกการมาถึงของตน ไม่นานชายสูงวัยก็วิ่งออกมากดรีโมทเปิดประตูให้พร้อมรอยยิ้มอย่างคุ้ยเคย

จิณณวัตรเคลื่อนรถเข้าสู่ตัวบ้านด้วยหัวใจเลื่อนลอย นานแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ นานจนกระทั่งแทบหลงลืมไปแล้วว่าครั้งนึงเขาเคยมาที่นี่แทบทุกวัน วิ่งเล่นตรงสวนกว้างด้านซ้ายมือ ปีนป่ายต้นมะม่วงเขียวเสวยด้านขวามือ และเฝ้ามองรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลิลลาใต้เงาของมันอยู่เสมอ

“สวัสดีครับคุณจิณณะ”

จิณณวัตรยิ้มรับพลางยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรัก “สวัสดีครับลุงนู”

ลุงธนูยกมือรับไหว้ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ดวงตาอบอุ่นเทิดทูนมองอย่างปิติคิดถึง

“สบายดีนะครับ”

“สบายดีครับ แล้วนี่พี่กี้อยู่ในบ้านใช่ไหมครับ”

“อยู่ครับ” เมื่อได้คำตอบร่างสูงโปร่งปราดเปรียวก็เดินนำหน้าคนสวนของบ้านเอื้ออรัญวัฒน์เข้าไปในตัวบ้านเพื่อตรงไปยังห้องทำงานของอีกฝ่ายตามคำสั่ง

“แอ๊” เสียงใสเล็กๆ ดังแว่วมาจากภายในห้องรับแขกทำให้ขาที่กำลังจะก้าวผ่านไปชะงัก จิณณวัตรเดินย้อนกลับไปยังบริเวณดังกล่าวด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไร

ร่างกลมป้อม วงหน้าพองกลมพวงแก้มสีชมพูระเรื่อผุดลุกจากที่นอนข้างกันนั้นมีร่างเล็กบางของน้อยเด็กสาวในบ้านเอื้ออรัญวัฒน์นอนหลับตาพริ้มอยู่ วินาทีที่ดวงตารีเรียวดุกร้าวมองสบดวงตากลมโตหวานเชื่อมแสนคุ้นเคย หัวใจข้างในก็เหมือนจะเต้นรุนแรงจนแทบทะลุอก จิณณวัตรตัวแข็งทื่อ ช่วงอกหวิวโหวงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด สายตาคมกร้าวไม่สามารถละไปจากดวงหน้ากลมพวงแก้มสีชมพูได้เลย

“แอ๊” เสียงเรียกไม่เป็นคำนั้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมร่างกลมป้อมเดินตัวเอียงขาไขว้ไปมาเข้ามาหา

ใบหน้าของจิณณวัตรขาวซีด ดวงตาคู่คมอ่อนแสงลงยามทอดมองร่างกลมป้อมที่กำลังเงยหน้ามองตอบตาใส วงหน้ากลมแก้มแดงระเรื่อยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ จมูกรั้นมีแนวโน้มว่าจะโด่งเป็นสันในวันข้างหน้า ริมฝีปากเล็กสีชมพูอ่อน ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเกือบลืมหายใจก็คงเป็นดวงตาหวานเชื่อมระยิบระยับแสนคุ้นจนหัวใจคนมองเต้นระส่ำยิ่งกว่าเดิม ดวงตาที่เหมือนใครอีกคนที่เขาตามมาร่วมสามปี!

จิณณวัตรหยอบกายลง อ้าแขนรอรับร่างกลมป้อมที่กำลังเดินเข้ามาหา หัวใจของชายหนุ่มเต้นรุนแรงถี่เร็วจนเขายังนึกตกใจ

ทำไมกัน ทำไมแค่เห็นใบหน้ากลมแก้มชมพูเขาถึงได้รู้สึกหวิวโหวงที่ช่วงอก ทว่าหัวใจเต้นเร็วจนน่าใจหาย ชายหนุ่มรอกระทั่งร่างกลมป้อมมาถึงตัว ลำแขนแข็งแรงจึงโอบกอดร่างเล็กเข้าหาตัว โอบอุ้มขึ้นยืนด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ตัวเล็กจิ๋วนุ่มนิ่มน่ากอด ใบหน้ากลมแก้มชมพูระเรื่อน่าหยิก ดวงตากลมโตหวานเชื่อมระยิบระยับเหมือนตากวางแสนคุ้นเคย

จิณณวัตรคลี่ยิ้ม ก่อนยื่นหน้าเข้าไปหมายจะหอมแก้มพองกลมให้ชื่นใจ ทว่าเสียงห้าวเข้มที่ดังขัดขึ้นมาทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจ

"ไอ้จิณณะ!"

บทก่อนหน้า
บทถัดไป