บทที่ 7 บทที่ 3 กานต์รัก 100%
(ต่อ)
“หาอะไรอ่านอีกแล้วเหรอพี่จักร”
จักรภพหันขวับตามเสียงทักทาย ใบหน้าคมสันถอดแบบผู้เป็นบิดาคลี่ยิ้มนิดๆ อย่างที่ชอบทำ
“ฉันก็หาอะไรอ่านไปเรื่อย ว่าแต่แกทำไมวันนี้ถึงโผล่มาแถวนี้ได้” พี่ชายคนโตแสร้งถามทั้งๆ ที่รู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว เพราะลูกน้องของเขาที่ติดตามน้องชายคนเล็กห่างๆ หลังจากอีกฝ่ายย้ายออกจากบ้านโทรมารายงานอย่างละเอียด หากก็ไม่อยากแสดงออกว่าตนเอง ‘รู้’ ดีแค่ไหน ชายหนุ่มเลือกหยิบหนังสือสักเล่มจากชั้นไม่ทันมองสันปกด้วยซ้ำว่าใช่เรื่องที่เคยอ่านหรือไม่ ก่อนเดินมาทิ้งกายลงบนโซฟาสีเบทแล้วพยักพเยิดไปยังโซฟาอีกตัวเป็นการเชิญน้องนั่ง
“อย่าถามเหมือนพี่ไม่รู้ พี่รู้ดีกว่าตัวผมเองอีก” จิณณวัตรตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ พร้อมทิ้งตัวลงนั่งตามร่างของพี่
จักรภพหัวเราะในลำคอ แต่ไม่ตอบสิ่งใดให้น้องชายระแคะระคายมากกว่าเดิม
“แล้วพี่ให้พี่ทัชไปดักรอเรียกผม มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าครับ”
“มี” น้ำเสียงที่ตอบหนักแน่นจนคนเป็นน้องต้องถอนหายใจแรง
“ผมตอบพี่ไปแล้วนะว่าขอเวลา”
“แกขอเวลาพี่ให้ได้ แต่แกอย่าลืมว่าพ่อแม่แก่ลงทุกวัน อย่าทำให้ท่านต้องเป็นกังวลนักเลย”
เขารู้ว่าความประสงค์สุดท้ายที่มารดาปรารถนาคือการให้เขายอมรับตำแหน่งงานในเครือ KNK Construction ซึ่งที่ผ่านมาเขาเอาแต่ผัดผ่อนขอเวลาอยู่ตลอด เพราะเหตุผลที่ว่าตนเองไม่ชอบงานด้านบริหารเช่นพี่คนโต
“แกไม่ชอบวิ่งหนีกระสุนเหมือนไอ้เจต พ่อก็ให้ทำงานที่ KNK Construction กับฉัน แต่แกก็ลื่นเป็นปลาไหลผัดผ่อนอยู่นั้นแหละจนแม่เป็นห่วง” จักรภพถอนหายใจเมื่อพูดถึงมารดา ช่วงหลายวันที่ผ่านมามารดาโทรหาเขาวันละหลายรอบเพราะความเป็นห่วงจิณณวัตรเนื่องจากมีข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับเกี่ยวกับการจับกุมกลุ่มสถานบันเทิงที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ท่านกังวลว่าผับของลูกชายคนเล็กจะติดร่างแหไปด้วยเพราะเคยมีคดีความเก่าก่อนกับบรรดาสถานบันเทิงเหล่านั้น ซึ่งเขาก็ทำได้เพียงปลอบพร้อมรับปากว่าจะมาพูดคุยกับน้องชายอย่างจริงๆ จังๆ ให้เรียบร้อย
“จิณณะแกจะอายุสามสิบแล้วนะ อยากทำตัวเป็นพ่อมาลัยลอยไปลอยมาเหมือนไอ้เจตให้แม่คอยห่วงหรือไง ฉันรู้ว่าแกรักในสิ่งที่ทำ แต่แกก็รักแม่มากไม่ใช่เหรอ” พี่ชายคนโตผู้หวังดีกับน้องเกลี่ยกล่อมพร้อมข่มขู่ไปในตัว ในบรรดาพี่น้องสามคนจิณณวัตรเป็นเด็กหัวดื้อที่สุด เก็บความรู้สึกเก่งที่สุด ที่สำคัญชายหนุ่มเป็นคนแสดงออกตรงข้ามกับความรู้สึกเสมอ เขารู้ว่าในชีวิตของน้องมีสิ่งที่รักไม่กี่อย่าง และอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดเสมอมาก็คงเป็น…
“ถ้าวันนึงลินกลับมา” คนพี่ลอบมองเสี้ยวหน้าที่เจื่อนสีลงของน้องแล้วส่ายหน้า
นี่แหละน่า… จุดอ่อนเดียวของจิณณวัตร!
“แกคงไม่อยากให้เธอมองแกอย่างเมื่อก่อนหรอกใช่ไหม”
จากที่กำลังคิดหนัก ตอนนี้จิณณวัตรคิดจนหัวแทบระเบิด คำพูดของพี่ชายมันสะเทือนใจเขาจนตอบอะไรไม่ได้ ทุกวันนี้เขาเฝ้าบอกตัวเองว่าสักวันหนึ่ง… ยัยอ้วนของเขาจะต้องกลับมาเอาคืนเขา ด่าทอ ต่อว่า ทุบตี ทำร้ายเขาให้เจ็บปวดเช่นที่เขาเคยทำกับเธอ เมื่อถึงเวลานั้นเขาสาบานว่าจะไม่ตอบโต้ แต่จะน้อมรับมันเอาไว้ทั้งหมด
“ผม…” ผมควรทำยังไงดี เขาอยากถาม หากพอเงยหน้ามองพี่ชายคำถามเหล่านั้นก็กลืนหายลงไปในลำคอ “ผมขอเวลาได้ไหม สักเดือน เอ่อ หรือสองเดือน”
จักรภพถอนหายใจยาว คำตอบของน้องไม่แตกต่างไปจากที่เขาคาดเดาไว้นัก
“เอาเถอะ ฉันให้เวลาแก นานแค่ไหนก็ให้ได้สำหรับน้องชายของฉัน” มืออบอุ่นเอื้อมมาตบบ่าลู่ไหวเบาๆ สองสามทีพร้อมรอยยิ้มเช่นเคย
จิณณวัตรยิ้มเจื่อนตอบพลางถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป หากวางมือจากธุรกิจสถานบันเทิงแล้วเข้ารับตำแหน่งงานในหน้าที่ที่บิดาจัดหาไว้ให้ทุกอย่างจะดีขึ้นจริงหรือ แต่หากไม่ทำเมื่อลิลลากลับมาทุกอย่างจะย่ำแย่กว่าอดีตจริงไหม… เขาอยากได้คำตอบ หากตนเองก็ตอบมันไม่ได้
“ลินถึงแล้วนะพี่กี้” ร่างระหงปราดเปรียวกว่าทุกวันในชุดสูทกระโปรงสีกรมท่าเข้าชุดดูสง่างาม เคร่งขรึม และเป็นการเป็นงานกว่าทุกเคย
ลิลลาเร่งฝีเท้าหลังลงจากรถเมล์ได้หล่อนก็ต่อสายรายงานตัวกับพี่ชายว่าถึงหน้าปากซอยแล้ว
(“เดี๋ยวพี่ให้คนไปรับ”) ฝ่ายพี่รู้ว่าน้องสาวมาเกือบถึงบ้านก็เร่งร้อน หันรีหันขวางหาลุงธนูคนสวนเก่าแก่เพื่อสั่งงานให้แกขับรถจักรยานยนตร์คู่ใจออกไปรับน้องสาวอย่างเคย ทว่ามองหาแล้วหาอีกก็ไม่เจอ
“ไม่เป็นไรหรอกพี่กี้ เดี๋ยวลินเดินเข้าไปเอง วันนี้มาเร็ว”
กีรติไม่ทันได้เล่าเรื่องการมาของใครอีกคนให้น้องสาวระวังตัว สายก็ตัดไปเสียก่อน ชายหนุ่มยืนกระสับกระส่ายด้วยกลัวน้องสาวจะเจอกับผู้ชายที่ไม่อยากพบมากที่สุดในชีวิต ทว่าเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจแรงๆ เมื่อสุดจะห้ามโชคชะตาได้
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาปลงพลางเดินวกกลับมาหาหลานรักที่กำลังหัวเราะเสียงแหลมกับการหยอกล้อเล่นสนุกสนานกับสองสาวฝาแฝด คล้ายว่าพอมองวงหน้าหวานแก้มกลมๆ ของหลานก็หลงลืมน้องไปเสียสนิท
ทว่า… กีรติไม่คาดคิดว่าสิ่งที่จะตามมาพร้อมโชคชะตาอาจเป็นวิบากกรรม
ลิลลาเดินเท้าเข้ามายังหมู่บ้านหรูย่านคนรวยในเขตกลางเมือง หญิงสาวไม่ต้องแสดงบัตรด้วยซ้ำเพราะยามที่ดูแลความปลอดภัยร้องทักทายหล่อนตั้งแต่เห็นเงาจากที่ไกล เพราะเมื่อก่อนหล่อนเคยอยู่ที่นี่ แม้ตอนนี้จะไม่ได้มีสถานะเป็นผู้อาศัยในหมู่บ้าน แต่ก็เป็นผู้ ‘เคย’ อาศัยที่คุ้นหน้าพบปะกันดี
“อ้าว ทำไมวันนี้เดินครับคุณลิน”
ลิลลายิ้มรับพลางส่งกาแฟกระป๋อง และเครื่องดื่มชูกำลังให้หน่วยรักษาความปลอดวัยกลางคนก่อนตอบ “วันนี้มาแบบไม่ได้บอกใครค่ะ นี่แทนคำขอบคุณที่วันนั้นช่วยลินหาแท็กซี่ และช่วยพี่กี้ซ่อมรถ”
หญิงสาวส่งยิ้มสว่างไสว ไม่มีสิ่งใดแทนคำขอบคุณได้เท่าความจริงใจ
“โอ้ย เรื่องเล็กน้อยครับคุณลิน ผมยินดีรับใช้ครับ”
หญิงสาวพูดคุยทักทายพนักงานรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านอีกเพียงเล็กน้อย ขอบอกขอบใจกันอีกครั้งจึงผละจาก สองขาเดินย่ำเรื่อยไม่เร่งรีบด้วยรู้เวลาดีว่าป่านนี้ลูกชายสุดที่รักคงกำลังสนุกสนานกับการวิ่งเล่นบริเวณสวนหน้าบ้านอย่างเคย เพราะที่บ้านของหล่อนที่ชานเมืองไม่มีพื้นที่กว้างขวางให้วิ่งเล่นมากนัก การมาเที่ยวบ้านคุณลุงซึ่งใหญ่โตโอฬารกว่ามากจึงเป็นที่ชื่นอกชื่นใจของเจ้าตัวเล็กยิ่งนัก
สองเท้าเล็กก้าวไปข้างหน้ามั่นคงมาโดยตลอดกระทั่งถึงบ้านหลังหนึ่ง หลังคาสีเขียว ต้นไม้ใหญ่โตร่มรื่นกับประตูรัวเหล็กสีขาวตระหง่านตรงหน้าหัวใจที่เพิ่งสงบเงียบกลับปวดแสบร้าวรานขึ้นมาทันใด
เขา… หัวสมองหล่อนอึงอลเพียงแค่เห็นบ้านที่เขาเคยอยู่ บ้านซึ่งรวมความทรงจำทั้งดีที่สุด และเลวร้ายที่สุดเอาไว้ หล่อนไม่วันลืม ให้ตายอย่างไรก็คงลืมทุกเรื่องที่เคยเกิดไม่ได้! ไม่มีวัน!
หลังจากจมจ่อมในความคิดครู่ใหญ่ ร่างระหงก็ยืดตัวตรง เงยหน้า มองตรงไปโดยไม่เลี้ยวหลังหรือชำเรืองมอง ‘อดีต’ ที่สะเทือนใจผ่านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่นั้นอีก หล่อนต้องเข้มแข็ง มันก็แค่บ้าน… ลิลลาบอกตัวเองเช่นนั้น ท่องจำคำเดิมๆ ซ้ำๆ กระทั่งเท้าทั้งสองข้างเดินมาถึง ‘บ้าน’ อีกหลัง บ้านที่หล่อนเคยอยู่อาศัยร่วมยี่สิบปี
“คุณลิน!” เสียงห้าวทุ่มติดแหบแห้งเล็กๆ ร้องนำมาก่อนร่างผอมซูบจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาเปิดประตูเล็กด้านข้างให้ ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยยิ้มกว้างทักทายอย่างทุกที “วันนี้มาเร็วจังครับ เห็นคุณกี้ว่าคุณลินอาจไม่ได้มา”
“เกือบไม่ได้มาค่ะ” หล่อนตอบ รอยยิ้มยังคงประดับใบหน้าบางเบา “โชคดีที่บรีฟงานกันเรียบร้อย ตอนแรกกลัวจะเลทจนมารับรักไม่ทันเลยบอกพี่กี้ไว้ก่อนค่ะ”
“ดีแล้วครับ มาบ่อยๆ จะได้หายคิดถึง” คนกล่าวกล่าวพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ดวงตารักถนอมเทิดทูนจากใจ “บ้านจะได้ไม่เงียบเหงาด้วยครับ”
ลิลลายิ้มอ่อน ดวงตาคู่โศกอ่อนแสงลงเล็กน้อยกับถ้อยคำกึ่งคิดถึง หล่อนรู้ทุกคนอยากให้หล่อนกลับมา แต่ให้ทำใจอย่างไร หัวใจดวงนี้ก็ไม่อาจทนรับสภาพที่ต้อง ‘เห็น’ แม้เพียงหลังคาบ้านของคนคนนั้น หากก็ยังรักษาน้ำใจผู้สูงวัยที่นับถือด้วยคำตอบที่ละมุนละม่อมเท่าที่จะนึกออก
“ไว้รอ… รอให้รักโตอีกนิดก่อนนะคะ” เพราะเมื่อลูกโต กีรติคงไม่ยอมให้หลานรักร่ำเรียนในโรงเรียนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
“ผมจะตั้งตารอครับ”
ทั้งสองยิ้มให้แก่กันด้วยความรู้สึกที่ต่างกันออกไป คนหนึ่งมีความหวัง อีกคนกลับไม่อยากหวัง หญิงสาวเดินเข้าบ้าน ใบหน้าแม้ไม่เบิกบาน แต่ก็ไม่ได้เหี่ยวเฉาเมื่อเสียงร้องเล็กแหลมคุ้นหูก็ดังแหวกอากาศมาพร้อมร่างกลมป้อม
“แม่ถา!”
แม่ถาของคนตัวเล็กหยอบกายลง อ้าแขนรอรับร่างเล็กๆ ที่นับวันจะไม่เล็กไปทุกที เจ้าตัวแสบหัวเราะเสียงแหลมพุ่งร่างเข้าสู่วงแขนของมารดาด้วยหัวใจเบิกบาน
“คิดเถิงแม่”
“แม่ก็คิดถึงรักครับ วันนี้ดื้อกับคุณลุงหรือเปล่าครับ” เสียงถามอ่อนโยนอย่างที่สุด ดวงตาทอดมองแก้วตาดวงใจอย่างรักใคร่เด็ดเดี่ยว หากเจ้าตัวแสบในอ้อมแขนกลับส่ายหน้าหวือตอบเสียงดังฟังไม่ชัดว่า
“ม่าย”
มารดาจึงส่ายหน้า หัวเราะเบาๆ แล้วกอดร่างน้อยแน่นขึ้นอีก
“ไม่น้อยน่ะสิ” คนเป็นลุงเดินหน้าหงิกตามมา ยิ่งคิดถึงภาพที่หลานรักวิ่งถลาเข้าหาอ้อมแขนของ ‘คนข้างบ้าน’ หน้ายิ่งหงิกเป็นกระดาษยับย่น
ลิลลาเพียงยิ้มบางๆ อุ้มลูกเดินเข้ามาหาพี่ชาย “พี่กี้อารมณ์ไม่ดี?”
หล่อนถามเพราะปกติพี่ชายจะไม่หน้าง้ำหน้างอหากหลานรักอยู่ด้วย และโดยนิสัยส่วนตัวแล้วกีรติไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์หรือคิดเล็กคิดน้อย เพียงแต่เป็นคนเจ้าระเบียบติดจะเคร่งขรึมมากหน่อยเท่านั้นเอง หากแต่วันนี้บรรยากาศมาคุตั้งแต่หล่อนก้าวเท้าเข้าบ้านเลยทีเดียว
“หรือพี่เจตสร้างเรื่อง?” นี่เป็นปัญหาหลักของพี่ชาย เนื่องจากเพื่อนรักเพื่อนแค้นผู้เป็นหุ้นส่วนสโมสรฟุตบอลร่วมกันค่อนข้างไม่เอาอ่าวสักเท่าไหร่ งานหนักจึงตกเป็นของพี่ชายเธอโดยปริยาย
“ใช่” หนุ่มใหญ่หน้าตึงขึ้นเมื่อคิดถึงใบหน้าของคนบ้านนั้นขึ้นมาทีละคน “เกลียดมัน!” แต่ก็ตัดมันไม่ขาดสักที!
ลิลลาส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆ หากไม่ต่อความกับคำพูดของพี่ เนื่องจากกีรติกับเจตพลเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่จำความได้ หากทั้งสองฝ่ายก็ไม่อาจตัดกันขาดเสียที
“ไปค่ะ เข้าบ้านกันเถอะ วันนี้ลินแวะมาฝากท้องกับป้าสายใจด้วย”
สองพี่น้องกับหนึ่งเจ้าตัวเล็กจึงเดินเคียงกันเข้าบ้านด้วยใบหน้าเบิกบานกว่าทุกวัน ที่นี่คือบ้าน… ลิลลาบอกกับตัวเองอย่างจริงจัง ไม่ว่าหล่อนจะไปอยู่ที่ไหน นานเพียงใด บ้านเอื้ออรัญวัฒน์ก็คือบ้านเพียงหลังเดียวของหล่อน และกีรติก็เป็นญาติเพียงคนเดียวที่หล่อนมี สุดท้ายบั้นปลายของชีวิต หล่อนฝันว่าจะเข้มแข็งพอที่จะกลับมาอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข แม้จะรู้ว่ายังคงไกลจากคำนั้นอีกมาก… ก็ตาม
ทว่า… โชคชะตามักไม่แน่นอน สิ่งใดที่ว่าเที่ยงแท้ อาจเป็นเพียงแค่ภาพลวง
ความทุกข์ก็เช่นกัน วันนี้หล่อนอาจยังทุกข์ตรม แต่วันข้างหน้าใครเล่าจะรู้ว่าหล่อนอาจจะท่วมท้นไปด้วย ‘ความสุข’ ก็เป็นได้ แต่ก่อนจะถึงวันแห่งความสุขหล่อนอาจต้องผ่าน… ผ่านสิ่งที่เรียกว่าอุปสรรคซึ่งเป็นบททดสอบใหญ่ในชีวิตไปให้ได้เสียก่อน บททดสอบที่อาจทำให้หล่อนแทบเจียนตาย กระอักเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเจียนขาดใจ… หากสุดท้ายเมื่อหล่อนผ่านมันได้ หล่อนจะพบว่าความเจ็บปวดที่แสนสาหัสอย่างวันที่ผ่านมาคุ้มค่าที่จะฝ่าฟัน!
