บทที่ 5 4

ฟ้างามชาไปทั้งตัว ไม่อยากเชื่อเลยว่าหนึ่งในคนที่ตะวันพามาก็คือคลาริสาที่ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว แม้จะอยู่ในชุดลำลองเรียบ ๆ แต่แอบเว้านิดเปิดหน่อยตามแบบฉบับสาวมั่น ใส่แค่นี้แต่โก้มากจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา ไหนจะท่าเดินที่สง่างามราวกับนางพญา แววตามั่นอกมั่นใจที่แฝงบางอย่างเอาไว้ให้ค้นหานั่นอีกเล่า

ฟ้างามอดที่จะหลุบตามองการแต่งกายของตัวเองไม่ได้เลย และรับรู้เดี๋ยวนั้นว่ารสนิยมของเธอยังห่างไกลจากอีกฝ่ายหลายเท่านัก

ด้านตะวัน เขาคงแปลกใจที่เห็นเธออยู่ตรงนี้ ทั้งที่ไม่ได้เชื้อเชิญ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร สายตาที่มองกลับมาทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากเศษไม้ใบหญ้าเสียเท่าไหร่ แต่ยามใดที่เขามองคลาริสา มันเต็มไปด้วยความรู้สึกรัก หวงแหน และเทิดทูน

ก็คงแน่สิ...

ในเมื่อผู้หญิงคนนี้เหนือกว่าเธอทุกอย่าง ทั้งชาติตระกูลและการวางตัว พอจะสูสีกันหน่อยก็ตรงที่การศึกษา แต่ข้อนี้ถูกหักล้างไปแล้ว เพราะอะไรฟ้างามรู้ดี

เธอได้แต่ก้มหน้าซ่อนดวงตารื้นเศร้า สองมือกำเข้าด้วยกันแน่น ในใจก็ได้แต่คิด หากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่มีวันพลีกายให้เขาเชยชมง่าย ๆ เช่นนั้นเด็ดขาด

ในระหว่างนั้น ตะวันก็หันไปแนะนำเพื่อนสาวคนสวยทั้งสองคนให้ทุกคนรู้จัก โดยคลาริสาเป็นทายาทคนเดียวของบริษัทนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาและสารเคมีรายใหญ่ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกและเพิ่งมาเจอครอบครัวของตะวันเป็นครั้งแรก ส่วนเพื่อนอีกคนชื่อปาริชาติ เป็นศัลยแพทย์ที่อยู่โรงพยาบาลเดียวกับตะวัน เป็นพี่สาวของหมอปวุฒิหรือพี่เป้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขา และเธอก็รู้จัก

“สวัสดีค่ะคุณย่า สวัสดีค่ะคุณอา”

คลาริสายกมือไหว้คุณย่าศรีสุดา ก่อนจะหันมาหาทินกรซึ่งนั่งตรงกันข้าม หากแววตาที่มองฝ่ายชายกับเสียงที่ทักทายและจริตเขินอายเวลาสนทนากันนั้น ทำให้ฟ้างามรู้สึกค้านในใจ เพราะเธอนึกนึกถึงคำเยินยอที่เคยหลุดมาจากปากของตะวัน

‘แคลร์เขาไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายแบบเธอ’

คำว่าใจง่ายกับมนุษยสัมพันธ์ดีมีความหมายต่างกัน เธอนั้นยอมเอาตัวเข้าแลกหวังให้ได้ความรักกลับมา ต่างจากคลาริสาที่ทั้งวางตัวดี ยิ้มเก่ง ช่างเจรจา ถึงจะเล่นหูเล่นตาไปบ้างแต่คงเป็นบุคลิกมากกว่าจะมีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง

นี่คงเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงอย่างนี้ ซึ่งตะวันอาจไม่ได้มองว่าคือการทอดสะพานอย่างที่เคยด่าเธอหรอก อีกอย่าง การที่เธอเจอคนหน้าคล้ายคลาริสาเมื่อครั้งที่ติดรถพ่อกำนันไปกรุงเทพฯ ก็เลยทำให้อคติกับฝ่ายนั้นไปเอง

“นี่อาไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าตะวันมันมีเพื่อนสวยขนาดนี้”

แววตาอบอุ่นของทินกรเป็นประกายระยับเมื่อจ้องมองคลาริสา แต่ประกายนั้นก็หายวับไปเมื่อสมองบอกว่าผู้หญิงคนนี้อาจเป็นคนที่หลานชายหมายปอง

ทินกรหันไปหาตะวันที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ จะมีก็แต่แววตาที่มองคลาริสาเท่านั้นที่ทำให้ฟ้างามรู้ว่าเพื่อนสาวคนสนิทของเขามีความสำคัญมากแค่ไหน

“เป็นแฟนกันใช่ไหม?”

ทินกรถามตรง ๆ คุณศรีสุดาก็สนใจคำตอบเหมือนกัน เพราะแต่ไหนแต่ไร ตะวันไม่เคยพาผู้หญิงเข้าบ้าน ไม่เคยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านความรักกับคนในครอบครัวเลย แล้วจู่ ๆ วันนี้ก็พามาถึงที่ ท่านก็อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีดีอะไรที่มัดใจหลานชายท่านได้แบบนี้

ด้านคนถูกถามอย่างตะวันก็เสไปมองคนของใจ เขาอยากได้ความคิดเห็น และไม่รู้สถานะตอนนี้เรียกว่าอะไร แต่สิ่งที่บอกได้ก็คือ... เธอคือคนที่ใช่ แต่ไม่รู้คลาริสาจะเห็นด้วยไหม เพราะเธอยังไม่ชัดเจน

“ไม่ใช่ครับ”

ก็ได้แต่ตอบไปแบบนี้ เพื่อที่จะให้เกียรติคนที่รักให้มากที่สุด ด้านคลาริสาก็ระบายยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าใช่รอยยิ้มโล่งใจ หรือเขาแค่คิดมากไปเอง ก่อนที่หล่อนจะเอ่ยต่อไปว่า

“เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ ม.ต้นแล้วค่ะ แล้วก็จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

ตะวันส่งรอยยิ้มแกน ๆ ในใจรู้สึกเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก ไม่เข้าใจว่าทำไมคลาริสาถึงให้เขาเป็นได้แค่เพื่อน ทั้งที่เขาก็ชัดเจนกับเธอมาตั้งนาน

แต่ฟ้างามจับสังเกตได้ว่ามีประกายแปลก ๆ แวบเข้ามาในแววตาของทินกรอีกหน มันชักไม่ชอบมาพากล แต่ตอนนั้นคลาริสาหันมาสนใจเธอบ้าง เธอเลยต้องรีบยิ้มให้เพื่อกลบเกลื่อนที่เธอลอบสังเกตทุกคน

“น้องฟ้างามใช่ไหมจ๊ะ”

“ค่ะ”

ฟ้างามพยักหน้าน้อย ๆ พร้อมฉีกรอยยิ้มแสนหวาน

คลาริสายิ้มตามจนตาหยี เผยลักยิ้มทรงเสน่ห์จนฟ้างามคิดว่าหากตัวเองเป็นผู้ชายคงใจละลายและยอมตายเพราะเสน่ห์แสนร้ายแบบนี้

“หลายปีก่อนพี่ว่าน้องสวยมากแล้วนะ พอมาเจอกันอีกทีตอนนั้นสวยสู้วันนี้ไม่ได้เลยจ้ะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“พี่พูดจริง ๆ นะจ๊ะ”

ฟ้างามได้แต่ค้อมศีรษะรับอย่างเขิน ๆ

เมื่อก่อนเคยเจอคลาริสาสองสามครั้งก็จริง แต่ไม่ได้มีโอกาสสนทนากันเลยสักครั้ง มาถึงตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตะวันถึงได้รักคลาริสามากมายนัก

เพราะเจ้าหล่อนทั้งสวย เซ็กซี่ ปากหวาน และเป็นมิตร แม้อีกใจฟ้างามจะแอบคิดว่ามันคือทักษะการหว่านเสน่ห์ขั้นเซียนเลยก็ตาม

“หนูสองคนรู้จักกันด้วยหรือจ๊ะ” คุณย่าศรีสุดาถามบ้าง

“ตอนแคลร์ไปหาตะวันที่คณะ แคลร์เคยเห็นน้องเอาขนมไปให้ตะวันบ่อย ๆ น่ะค่ะ” คลาริสาหันไปตอบคุณย่า

“จริงสินะ งามเรียนโรงเรียนมัธยมใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยของเจ้าตะวันนี่นา” คุณย่านึกขึ้นได้

ฟ้างามมองหน้าตะวันแวบหนึ่งแล้วหลบสายตาซ่อนความขื่นขม จะมีใครรู้บ้างไหมว่า ขนมที่อุตส่าห์เอาไปฝากเขานั้น อีกวันมันจะถูกนำมาเททิ้งที่หน้าประตูห้องพักของเธอเสมอ

“ทานข้าวกันต่อดีกว่าครับ”

ฟ้างามรู้ว่าตะวันตั้งใจตัดบทเมื่อทุกคนวกมาพูดเรื่องเธอ แต่ถึงรู้แบบนั้นเธอจะไปทำอะไรเขาได้ จากนั้นไม่นานศัลยแพทย์อีกคนที่มาด้วยก็ขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์แล้วกลับเข้ามาพร้อมสีหน้าไม่สบายใจ

“มีอะไรหรือเปล่าพี่ปลา”

“ไอ้เป้เป็นไข้หวัดใหญ่” ปาริชาติบอก

หล่อนไม่ได้เป็นที่สนใจเพราะหล่อนรู้จักกับคนที่บ้านทิพากรอยู่แล้ว ในฐานะพี่สาวของเพื่อนสนิทตะวัน อีกทั้งครอบครัวปาริชาติยังสนิทกับบิดาของตะวันอีกด้วย

“งั้นปลาขอลาเลยนะคะ”

ปาริชาติไหว้ลาคุณย่าและคุณอาทินกรก่อนจะรีบร้อนออกไป นายแพทย์ปวุฒิน้องชายของเธอนอนให้น้ำเกลืออยู่ในโรงพยาบาลที่เขาสังกัดอยู่นั่นแหละ ซึ่งห่างจากไร่พักตร์ตะวันเพียงสิบนาที

“ไอ้เป้นี่ไม่รู้จักดูแลตัวเองเลย เป็นถึงหมอแท้ ๆ นี่ยังต้องมาเดือดร้อนพี่เดือดร้อนเชื้ออีก” ตะวันบ่นลอย ๆ เพราะที่จริง เป้ หรือปวุฒิ บอกว่าจะตามมาสมทบทีหลัง แต่ดูยังไงก็คงตามมาไม่ได้แล้ว

“เอาน่า อย่าบ่นมันเลย อาว่าหมอมันก็คนนะ” ทินกรกล่าว

ก็จริงอย่างที่คุณอาบอก

แต่เพราะเขาหงุดหงิดนิดหน่อย กลัวหยุดยาวนี้จะเหลือแค่เขากับคลาริสาเพียงสองคน ไม่ใช่ทริปของกลุ่มเพื่อนอย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งคนอื่นอาจจะมองหญิงสาวไม่ดีเอาได้ เขาไม่อยากทำให้เธอเสียชื่อเสียง

“กินต่อ ๆ “

คุณทินกรบอกทุกคน แวบหนึ่งคลาริสาเหลือบมองสบตากับท่าน ทุกสิ่งอย่างอยู่ในสายตาฟ้างามทั้งหมด ความอึดอัดจึงยิ่งทวีคูณขึ้นในจิตใจของเธอ ก็ได้แต่ภาวนาให้ทุกคนรีบกินอาหารค่ำให้เสร็จแล้วแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวของตัวเองเสียโดยไว

เสร็จจากมื้ออาหาร ทุกคนออกไปนั่งรับลมยามค่ำตรงชานกว้าง ฟ้างามกับลูกจ้างสาวอีกสองคนคุยกันอย่างออกรสจนคลาริสาอดไม่ได้ที่จะเข้าไปร่วมวง ฟ้างามรู้สึกไม่คาดฝันปนประหลาดใจ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายขนาดนี้ ซ้ำยังไม่ถือเนื้อถือตัวอีกต่างหาก

เพราะแบบนี้สินะ คลาริสาถึงสามารถมัดใจตะวันได้อยู่หมัด

ความคิดนั้นทำให้ฟ้างามไม่อาจมีความรู้สึกร่วมกับการสนทนาอันออกรสออกชาติได้อีกต่อไป ใครจะว่าเธอแพ้แล้วพาลก็คงไม่ผิดนัก

“ว้าย...”

ฟ้างามร้องด้วยความตกใจเมื่อถูกของเหลวร้อนหกราดแล้วอาบแขนซ้าย หลังเดินไม่ระวังจนไปชนเข้ากับลูกจ้างอีกคนที่กำลังยกโกโก้ร้อน ๆ มาให้คุณย่าศรีสุดา ทินกรเป็นคนแรกที่ปรี่เข้ามาหาหลานสาว

“เจ็บมากไหมงาม”

“ไม่เจ็บมากค่ะ” โชคดีที่มันไม่ร้อนมาก แต่ก็ทำให้แสบไปทั่วบริเวณที่โดนเลยทีเดียว “งามเดินไม่ระวังเอง ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”

หันไปขอโทษลูกจ้างอย่างยอมรับผิด แต่ทินกรไม่คิดแบบนั้น สายตาที่เขามองลูกจ้างสาวจึงเป็นประกายวาวโรจน์น่ากลัว ก่อนเสียงเข้มจะเอ่ยขึ้น

“ฉันจะหักค่าแรงเธอครึ่งหนึ่ง โทษฐานที่ทำให้หลานฉันเจ็บตัว”

ลูกจ้างสาวก้มหน้าตัวสั่น ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้

“คุณอาคะ-”

“ไม่ต้องพูดอะไรมาก” ท่านดักคอเธอด้วยน้ำเสียงที่เข้มไม่แพ้กัน

“แต่ว่าเขาไม่ผิดนะคะ งามเหม่อเองค่ะ อย่าหักเงินเขาเลยนะคะ”

ทินกรจ้องหน้าหลานสาว แววตาอ้อนวอนของเธอทำให้เขาต้องถอนหายใจอย่างยอมจำนน

“ก็ได้” เขาแพ้ลูกอ้อนของฟ้างามเสมอเลย

“ขอบคุณค่ะคุณอา” / “ขอบคุณค่ะ”

ฟ้างามกล่าวขอบคุณ ลูกจ้างสาวเองก็เช่นกัน ตอนนั้นคุณย่าก็เดินมาถึงตัวเธอพอดี ก่อนที่จะเห็นว่าแขนซ้ายของฟ้างามกำลังเห่อแดง

“ย่าว่าไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถอะ”

“เดี๋ยวอาพาไป” ทินกรบอก แล้วทำท่าจะประคองเธอเข้าไปในบ้าน

จังหวะนั้นเธอรู้สึกเย็นสันหลังวาบ เพราะเหลือบไปเห็นสายตาเข้มถมึงทึงของตะวันซึ่งยืนมองอยู่ตรงราวกั้นของชานกว้าง ไม่รู้ว่าเธอคิดเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า ถึงได้คิดว่าเขาไม่พอใจกับความชิดใกล้ของเธอกับอาทินกร

“อากรอยู่ตรงนี้เถอะค่ะ งามดูแลตัวเองได้ หายห่วงค่ะ”

เมื่อฟ้างามพูดแบบนั้นเขาก็ไม่เซ้าซี้ ชายวัยกลางคนปล่อยให้หลานสาวเดินเข้าไปในบ้านเพียงลำพัง แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าความห่วงใยอย่างผู้ใหญ่ในครอบครัวห่วงลูกหลานนั้นจะสร้างความไม่พอใจให้ใครอีกคนที่ไม่ใช่ตะวัน

“ตะวัน ไปดูน้องหน่อย”

อาทินกรเดินเข้ามาบอก ตะวันไม่อยากขัดใจอา อีกทั้งตนก็เป็นถึงหมอจึงยอมตามเข้าไปแม้อยากจะหาโอกาสเข้าไปคุยบางอย่างกับคลาริสามากกว่าก็ตาม

แต่ก็ดี... เขาเองก็มีเรื่องจะคุยกับฟ้างามด้วยเหมือนกัน

อยากกลับบ้าน…

คือสิ่งที่ดังอยู่ในหัวของฟ้างามตลอดเวลาตั้งแต่เห็นหน้าตะวัน ไหนจะความไม่ชอบมาพากลที่เธอรับรู้ได้ตอนรับประทานอาหาร เรื่องที่ลูกจ้างเกือบถูกตัดค่าแรงเพราะเธอ และสายตาของตะวันมองมาเมื่อครู่นี้อีก มันเป็นสายตาที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างไรบอกไม่ถูก นั่นเพราะว่าเขาไม่อยากให้เธอมาวันนี้

“อุ้ย...”

คนที่เข้าครัวมาล้างคราบเหนียวออกจากแขนถึงกับสะดุ้ง หลังถูกมือหนาคว้าแขนข้างนั้นไว้อย่างแรง เธอตกใจเพราะไม่คิดว่าจะตามเข้ามาถึงในนี้

“คุณตะวัน”

เธอรีบปัดแขนเขาออก แต่ตะวันกระชากร่างเล็กเข้ามาใกล้แล้วตวาดเสียงเข้ม

“นิ่งเถอะน่า”

“...”

ฟ้างามกลัวเขาจนหายใจสะดุด แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเขาเผยให้เธอเห็นยาทาแผลพุพองที่เขาขึ้นไปหยิบจากกระเป๋ายาบนห้องก่อนเข้ามา แล้วก็ทาแขนข้างขวาให้เธอเบา ๆ

เธอมองคนที่ตั้งใจทายาให้ ในใจเธอก็สับสน แม้รู้สึกดีที่เขาแบ่งเพียงเศษเสี้ยวของความใส่ใจที่เขามีให้คลาริสามาให้เธอบ้าง แต่ก็ยังไม่อยากตัดสิน เพราะตะวันเป็นเหมือนแอปเปิลเคลือบยาพิษ ท่าทางเป็นมิตรของเขาซ่อนเจตนาร้ายและคำพูดหักหาญน้ำใจเอาไว้เสมอ

“ไม่ต้องซาบซึ้งหรอกนะ” เขาช้อนสายตาขึ้นมาสบตา “เพราะอาให้มาดู”

เขาไม่ได้มาเพราะความเต็มใจ... เธอรู้จักเขาดี แต่ก็ยังเสียใจอยู่ดี

“ยังไงก็ขอบคุณนะคะ”

ตะวันแสยะยิ้ม แต่เขาไม่ได้ซาบซึ้งกับคำขอบคุณ ไม่อยากให้เป็นบุญคุณกันด้วยซ้ำ

“น่าเสียดายที่มันไม่ใช่น้ำเดือด”

ได้ฟังเขาพูดแบบนั้นเธอก็ถึงกับขบกรามแน่น ก่อนจะออกแรงผลักเขาออกไปให้พ้น แต่กลับถูกจับข้อมืออีกข้างไว้แล้วเขาก็บีบเต็มแรง ยิ่งเธอพยายามดึงแขนกลับมาก็ยิ่งถูกรัดแน่น เขาบังคับให้เธอต้องสู้กลับ อาการขัดขืนจึงบินหายแทนที่ด้วยรอยยิ้มยียวนเลียนแบบที่เขาเคยทำ

“แย่หน่อยนะคะหมอ”

มันเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ เพราะตะวันออกแรงบีบแขนเรียวแรงขึ้น เธอเจ็บจนหน้าเหยเก สายตาร้ายกาจจ้องเข้ามาราวกับกินเลือดกินเนื้อ แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มกวน ๆ อย่างที่ฟ้างามเกลียดที่สุด

“นั่นสินะ แย่จังเลย” เขาคลี่รอยยิ้มคล้ายล้อเลียน “เธออุตส่าห์หน้าด้านเสนอหน้ามาร่วมทริปทั้งที่เขาไม่ได้เชิญ แต่ก็ดันมาเจอแต่เรื่องซวย ๆ”

ฟ้างามขบกรามแน่นแสดงออกว่าไม่พอใจชัดเจน ผู้ชายคนนี้คงไม่มีเรื่องสร้างสรรค์จะพูดแล้วใช่ไหมถึงได้จิกกัดเธออยู่ตลอด รู้ดีว่าเขาไม่ชอบไม่พอใจ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอก็ไม่ได้มาที่นี่เพราะอยากมา

“ปล่อยแขนงามนะคะ งามเจ็บ”

“หึ” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเป็นแบบนี้ เธอจะมาทำไม?”

“งามก็ไม่ได้อยากมา แต่งามขัดคุณย่าไม่ได้” เธออธิบายด้วยเสียงสั่น ๆ

“งั้นทำไมไม่โทร.บอกฉัน”

“แล้วคุณเปลี่ยนอะไรได้คะ เพราะยังไงคุณย่าต้องให้งามมาให้ได้อยู่ดี หรือคุณจะเปลี่ยนเป็นไม่พาคุณแคลร์มาวันนี้ล่ะคะ”

“ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้น”

เขาตั้งใจจะพาคลาริสามาแนะนำให้ทุกคนที่บ้านรู้จักอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าฟ้างามจะมาด้วย เขาไม่เชื่อว่าการมาของเธอมันจะเกี่ยวกับความต้องการของคุณย่า เพราะฟ้างามเป็นพวกชอบออดอ้อน แค่เจ้าหล่อนบีบน้ำตานิดหน่อยก็เรียกความสงสารจากทุกคนได้แล้ว

“ฉันว่าเธออ้อนคุณย่าให้พาเธอมามากกว่า ฉันรู้จักเธอดี”

ฟ้างามมองเขาอย่างตัดพ้อ รู้สึกผิดหวังมากที่ตะวันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้

“งามพูดความจริง”

“ถ้าคนที่พูดไม่ใช่เธอ มันจะน่าเชื่อถือกว่านี้”

“คุณตะวัน...”

“เก็บเสื้อผ้ากลับไปบ้านเธอไปซะ”

หัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาก็ทำท่าว่าจะไหลออกมา แต่ครั้งนี้เธอยอมไม่ได้หรอกนะ คุณย่าเป็นคนขอให้เธอมาที่นี่เอง แล้วจะให้กลับไปตอนนี้มันก็คงไม่ดี เธอลำบากใจกับเรื่องนี้จริง ๆ

“งามไม่กลับหรอกนะคะ”

“งาม!!!”

เขาตะคอกเสียงเข้ม เพราะไม่พอใจที่เธอขัดคำสั่ง

“เข้าใจงามบ้างเถอะ งามลำบากใจจริง ๆ”

“ฉันไม่เชื่อ !”

“...”

“ที่เธออยู่ตรงนี้ก็เพราะอยากให้แคลร์รู้ อยากบอกทุกคนว่าเราเป็นอะไรกัน”

“คุณช่วยตั้งสติบ้าง” เธอเหนื่อยเต็มทนกับความใจแคบและไร้เหตุผลของตะวัน เขาจะให้เธอทำอย่างไร เขาไม่พยายามเข้าใจเธอสักนิดเลย

“ฉันมีสติพอที่จะรู้ว่าอะไรจริง อะไรตอแหล”

“แล้วคุณจะให้งามพูดยังไง หรือเอาแบบนี้ดีคะ คืองามขอคุณย่ามาเองค่ะ งามบอกให้คุณย่าพางามมาแนะนำตัวกับเพื่อน ๆ ของคุณเอง ในฐานะอะไรดีคะ ที่มันจะไม่ทำร้ายจิตใจผู้หญิงของคุณมากเกินไป ว้าย!”

คนตัวบางร้องเสียงหลงเมื่อถูกชายหนุ่มดันไปจนหลังชนกับตู้เย็น สองไหล่บางโดนเขากดเอาไว้จนเหมือนว่าถูกขังอยู่ใต้กำแพงแขนแกร่ง

เขาไม่พอใจมากขึ้นไปอีก แล้วยังไงล่ะ... เธอพูดความจริงก็แล้ว โกหกก็แล้ว ผลสุดท้ายมันก็ลงเอยด้วยการทะเลาะกันอยู่ดี

“อย่ามาทำแบบนี้กับงามนะ ก็คุณอยากได้ยินแบบนี้เอง”

“เธอไปฟ้องอะไรคุณย่า!”

“อยากรู้ก็ไปถามท่านเอง” เสียงของเธอสั่นระริก น้ำตาก็คลอเบ้า แต่เขาไม่ได้สงสารเลยแม้แต่น้อย

“ฉันชักจะหมดความอดทนกับเธอแล้วนะ”

กรามแกร่งขบเข้าด้วยกันจนขึ้นสันนูน เขาพร้อมที่จะปลิดชีวิตผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้เสมอ ร่างผอมถึงกับสั่นเทาไม่ต่างจากเด็กจับไข้ ภาพของเขาในคืนนั้นที่บ้านบนเขามันย้อนเข้ามาในความทรงจำ ฟ้างามไม่เคยลืมว่าถูกตะวันทำร้ายอย่างไรบ้างเพียงเพราะเธอแค่ปาเข็มกลัดชิ้นนั้น

“งามไม่ได้ฟ้องอะไรใครทั้งนั้น”

“โกหก”

“ก็คุณไม่เชื่ออะไรงามเลยอะ งามไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”

“เพราะคนอย่างเธอมันเชื่อยากไงงาม เธอทำทุกอย่างเพื่อจับฉัน ลงทุนแก้ผ้าอ่อยฉันยังได้เลย นับประสาอะไรกับเรื่องพวกนี้ที่เธอจะไม่กล้า”

เขย่าไหล่สวยเต็มแรงจนแผ่นหลังบอบบางกระแทกตู้เย็นอีกครั้ง ฟ้างามรู้สึกราวกับว่าไหล่กำลังจะหลุดออกจากร่างกายอย่างไรอย่างนั้น แต่เจ็บกายไม่เท่าเจ็บใจ อยากรู้นักว่าทำไมตะวันถึงคิดไม่ได้ว่าเธออยากจะพูดจริง ๆ หรือเปล่า

“แล้วถ้างามพูดออกไปจริง ๆ คุณคิดว่างามไม่เสียหายหรือคะ งามก็กลัวอายเหมือนกัน แล้วคุณจะได้พาผู้หญิงคนนั้นมาที่บ้านหรือเปล่า คุณลองคิดดูสิ”

“...”

ตะวันชะงักไปนิดหนึ่ง ด้วยเห็นว่าคงจะจริงอย่างที่เธอพูด ย่าเขารักฟ้างามจะตายไป หากรู้ว่าหลานชายไม่รักดีกดขี่ข่มเหงเธอแบบนั้นแล้ว ไม่มีทางที่ท่านจะปล่อยผ่านไป

“เชื่องามเถอะนะ”

เธอบอกพลางน้ำใส ๆ ก็ไหลออกจากตา ความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังเข้ามาในหัวใจ ทั้งน้อยใจที่ไม่เคยถูกมองในแง่ดีและหวาดกลัวกับท่าทีโหดร้ายที่เขาแสดง

“ที่งามมาวันนี้ก็เพื่อความสบายใจของคุณย่า และงามจะไม่ทำอะไรให้ท่านไม่สบายใจ

ส่วนคุณก็แค่ทำเหมือนว่างามเป็นฝุ่นเป็นผงต่อไปเหมือนเดิมก็แค่นั้น ไม่ต้องมายุ่งกับงาม”

“งั้นเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ เธอก็เก็บกระเป๋าออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้เลยสิ ไม่ต้องอยู่ให้ระคายลูกตา”

ที่อธิบายออกไปทั้งหมดเขายังไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยสินะ คิดแล้วก็อยากหัวเราะออกมาทั้ง ๆ ที่อยากร้องไห้นี่แหละ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตะวันจะเป็นคนใจแคบมากขนาดนี้ ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป จะพยายามให้ทุกอย่างดีขึ้นแค่ไหน สุดท้ายมันก็วนกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“คุณอยากให้งามกลับหรือคะ”

“ใช่” เขาตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“งั้นคุณก็ต้องสวดมนต์เอาแล้วละค่ะ”

“เธอ!!!”

“คุณรู้ไหม แบบนี้เขาเรียกอะไร”

“...”

“เขาเรียกเวรกรรมกำลังตามทัน เพราะคนที่ทำอะไรไม่ดีเอาไว้ ก็มักจะต้องอยู่กับความหวาดระแวงแบบคุณนี่แหละ”

“งาม!!!”

ตะวันลุแก่โทสะคว้าหมับเข้าที่ลำคอขาวอย่างเหลืออด เขาเกลียดที่เธอทำเป็นรู้ดีและวิเคราะห์ตัวเขา และเขาไม่อยากยอมรับในสิ่งที่เธอพูด

“เอาเลยค่ะ!”

คนถูกกระทำกลับเชิดหน้าอย่างท้าทาย หากท้ายที่สุดตะวันก็ไม่กล้าลงมือ เขายังมีสติมากพอที่จะไม่ทำให้เรื่องราวบานปลาย ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เขากลัวมันจะต้องเกิดขึ้น ทั้งไม่อยากเป็นฆาตกร เพราะฆ่าผู้หญิงแพศยา

“ถ้าคุณทำร้ายงามแบบวันนั้นอีก งามจะบอกทุกคนให้หมดเลยว่าเราเป็นอะไรกัน”

“เธอกล้าขู่ฉันหรือ?”

“แล้วคุณจะลองไหมคะ อย่าบังคับให้งามจนตรอกนะคะ”

“!!!”

ตะวันหายใจฮึดฮัดพลางขบกรามแน่น สายตามาดร้ายมองจ้องใบหน้าหวานไม่วางตา แต่เพราะวันนี้รู้ว่ามีผู้ใหญ่คอยหนุนหลัง คนอย่างฟ้างามจึงปากดีแบบนี้ ไม่เหมือนตอนอยู่กันเพียงลำพัง ซึ่งเธอแทบจะยอมทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่ถ้าเธออยากลองดีกับเขาก็ได้ สบโอกาสเมื่อไหร่เขาจะสั่งสอนให้เธอรู้จักเจียมกะลาหัวตัวเองเสียบ้าง

“อากรคงชอบหรอก ที่คุณรังแกผู้หญิงแบบนี้” เธอรู้ว่าคุณอาทินกรพร่ำสอนให้ตะวันให้เกียรติผู้หญิง ถ้ามาเจอแบบนี้ท่านคงผิดหวังน่าดู

ตะวันเอะใจบางอย่าง แล้วก็ยกยิ้มมุมปาก รู้สึกว่าแม่คนนี้หายใจเข้าออกก็เป็นอากรไปเสียหมด หรือว่าสิ่งที่เขาสงสัยมันจะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

“ที่ดื้อด้านไม่ยอมกลับก็เพราะเธอทอดสะพานให้อาฉันเรียบร้อยแล้วสินะ”

“พูดบ้าอะไรของคุณ”

“อ้อ” เขาทำอ้าปากหวอเมื่อนึกอะไรออก “ไอ้เราก็นึกว่ามาตามขัดขวางความรักของเรา ที่แท้เข้ามาเพราะเขามีเป้าหมายใหม่ที่ชัดเจนแล้วนี่เอง แต่เราดันดูไม่ออกว่าที่เขาทำสนิทสนมอี๋อ๋อกับอาเรามาตั้งนานก็เพราะเขาวางแผนจะจับอาเราทำผัว”

เขามีความคิดแบบนี้กับอาของตัวเองได้อย่างไรกัน ท่านเห็นเธอมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ไม่มีทางคิดอะไรกับเธอแบบนั้นแน่นอน ส่วนเธอก็เคารพรักท่านเหมือนญาติผู้ใหญ่ เหมือนคนในครอบครัว มันก็แค่นั้น

“คุณนี่มันพูดไม่รู้เรื่องเข้าไปทุกวัน”

“เธอก็อย่าได้คิดจะไปแก้ผ้าให้อาฉันเอาแล้วกัน ท่านไม่เหมาะกับผู้หญิงโสโครกอย่างเธอหรอก”

ผู้หญิงโสโครก...

ฟ้างามทวนคำพูดนั้นในหัวใจที่บอบช้ำ เธอรู้ว่าตัวเองมันน่ารังเกียจมากสำหรับเขาแต่ทำไมจะต้องย้ำให้เธอเจ็บปวดแบบนี้ด้วย

อีกอย่าง... คงไม่มีใครที่เขาจิตใจสกปรกพอที่จะทำอย่างที่เขาว่า

แต่ถ้าเป็นเขามันก็คงไม่แน่

“ถ้างั้นงามขอแช่งให้คุณเจอผู้หญิงน่ารังเกียจยิ่งกว่างามเป็นร้อยเท่า แล้วก็ขอให้คุณช้ำใจตายเพราะผู้หญิงคนนั้น!”

คำพูดของเธอทำให้ตะวันโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า ฟ้างามตอกย้ำให้เขานึกถึงบิดาของตัวเองที่ต้องช้ำใจตายเพราะผู้หญิงหลายใจรักสบายที่เขาไม่อยากยอมรับว่าคือมารดาผู้ให้กำเนิด

“โอ๊ย...”

ฟ้างามร้องลั่น เรือนผมสลวยถูกตะวันขยุ้มเต็มแรงเพื่อบังคับใบหน้าสวยเงยขึ้นมา ก่อนที่คนฝีปากกล้าจะถูกปากหนาตะโบมจูบกักขฬะ

ตะวันบดขยี้ริมฝีปากนี้อย่างคั่งแค้น ปรารถนาจะกัดให้ปากนั้นหลุดติดเรียวฟันออกมาเลยด้วยซ้ำ เพื่อให้มันสมกับคำพูดคำจาก้าวก่ายพาดพิงถึงบุพการีซึ่งไม่เคยผ่านการกลั่นกรองจากสมองอันน้อยนิดนั่นเลย

“เจ้าตะวัน!”

เสียงดั่งประกาศิตของคุณทินกรทำให้ตะวันผละออกจากฟ้างามโดยอัตโนมัติ นาทีนั้นทุกอย่างรอบตัวเขาเหมือนหยุดนิ่งไปในพริบตา เขาไม่คิดเลยว่าท่านจะตามมาถึงในครัว ด้านฟ้างามนั้นอับอายเหลือเกิน ที่เคยบอกว่าพร้อมจะสารภาพความจริงกับทุกคนนั้นเธอก็แค่ขู่ เพราะไม่มีความคิดอยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว เพราะแบบนี้หญิงสาวจึงรีบวิ่งออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงตะวันที่ต้องเผชิญหน้ากับอาเพราะผลการกระทำของตัวเอง

“อาเข้ามานานหรือยังครับ”

“นานพอที่จะเห็นว่าแกทำอะไรกับน้อง”

ทินกรได้รับคำสั่งจากมารดาให้ตามมาดูว่าทั้งสองทำแผลเสร็จแล้วหรือยัง แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้

“มันไม่ใช่อย่างที่อาคิด” ตะวันเริ่มอธิบาย

“แล้วมันคืออะไร” ทินกรปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อหลานชายอย่างกลั้นโทสะไว้ไม่ไหว “ตอบฉันมาสิ”

“ผมไม่ได้ตั้งใจ” คำว่าไม่ได้ตั้งใจอาจจะช่วยให้สถานการณ์เลวร้ายทุเลาลงก็เป็นได้

“แกทำไปเพราะแกรักฟ้างามหรือ?”

“ไม่มีวัน”

เขาหมายความอย่างนั้นจริง ๆ

เขาไม่มีวันรักผู้หญิงแบบนั้น... และไม่เคยคิดที่จะรัก

“แล้วแกทำแบบนั้นได้ยังไง นั่นมันน้องสาวแกนะ”

“เหอะ!” เขาหัวเราะอย่างนึกสมเพชพร้อมกับดึงมือท่านออกจากคอเสื้อ “อาดูจะปกป้องผู้หญิงอย่างนั้นเสียเหลือเกินนะ ผมถามจริง ๆ ถ้ารู้ว่าหล่อนเหลวแหลกแค่ไหน แล้วทำอะไรกับผมเอาไว้บ้าง อาจะยังปกป้องหล่อนอยู่หรือเปล่าครับ”

“ฉันไม่เคยสอนให้แกพูดถึงผู้หญิงแบบนี้”

“ผมไม่จำเป็นต้องให้เกียรติผู้หญิงคนนั้น!”

เผียะ!

ใบหน้าหล่อถึงกับสั่นเพราะแรงตบจากมืออุ่นของทินกร คนเป็นอาไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อยที่ได้ทำลงไป แม้ไม่เคยตบตีตะวันแบบนี้มาก่อน แต่นี่มันอาจจะช่วยเตือนสติหลานชายในตอนนี้ได้

“มีสติขึ้นมาบ้างหรือยัง”

ตะวันกลืนน้ำลายลงคอ ในขณะที่สองมือกำหมัดแน่น หากคนตรงหน้าไม่ใช่อาทินกรแล้วละก็ เขาจะไม่ยอมโดนตบอยู่ฝ่ายเดียวแน่นอน

“ผมขอโทษครับ”

แม้ภายนอกจะดูสงบแต่ความแค้นที่อัดแน่นเต็มอกกำลังรอวันระเบิดเข้าใส่ผู้หญิงคนนั้นผู้เป็นต้นเหตุของเรื่อง

วุ่นวายในวันนี้ และเป็นคนที่ทำให้เขาต้องถูกอากรตบ

“แกทำน้องทำไม!?”

ยิ่งมีคนบอกว่าฟ้างามคือน้องสาวเขา เขาก็ยิ่งไม่ชอบ... เขาไม่เคยชอบการที่มีเธอเป็นส่วนประกอบแบบใดแบบหนึ่งในชีวิต

“เพราะผมเป็นผู้ชาย”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป