♥ บทที่ 5 ♥

โดมินิก คาสเตลลาโน

21:40 น. – ไนต์คลับ – เมืองคาสเตลลาโน

วันศุกร์

การเดินทางไปไนต์คลับใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ การจราจรที่วุ่นวายทำให้เราต้องหยุดรถเป็นพักๆ แต่มันก็ไม่ได้ทดสอบความอดทนของฉัน ความเงียบภายในรถมีเพียงเสียงจอแจจากภายนอกและความคิดอันมืดมนของฉันที่คาดการณ์ถึงการเผชิญหน้าซึ่งกำลังจะมาถึง

ไม่กี่นาทีต่อมา แจ็คก็จอดรถริมถนนเพื่อรับเซอร์จิโอ เขาสอดตัวเข้ามาในเบาะหน้าอย่างรวดเร็วและจัดท่าทางโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาทำงานมีประสิทธิภาพเสมอ และรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการสนทนาที่ไม่จำเป็น

เรามุ่งหน้าไปยังไนต์คลับ เมื่อเข้าใกล้ บรรยากาศก็เปลี่ยนไป แสงไฟเจิดจ้าสาดส่องวิบวับอยู่ไกลๆ และเสียงดนตรีเบสหนักๆ ก็ดังกระหึ่มสั่นสะเทือนทะลุผนังออกมา แจ็คจอดรถอย่างแม่นยำที่ทางเข้าด้านข้างซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่สงวนไว้สำหรับทีมของเรา

เขาลงจากรถก่อน แล้วเปิดประตูให้ฉันด้วยความแม่นยำเช่นเคย

“พวกมันจับตัวคูเปอร์ไว้แล้ว เขากำลังรออยู่” เขาแจ้งฉันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและควบคุม

รอยยิ้มช้าๆ อย่างอำมหิตปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของฉัน ฉันก้าวลงจากรถ จัดชุดสูทที่แม้จะเปื้อนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันใส่ใจ ฉันเดินตรงไปยังทางเข้าโดยมีแจ็คและเซอร์จิโอขนาบข้างราวกับเงาผู้ภักดี

โถงหลักแน่นขนัดไปด้วยผู้คน เสียงดนตรีที่ดังกระแทกกระทั้นทำให้อากาศสั่นสะเทือน แม้ว่าคลับแห่งนี้จะเป็นของฉัน แต่ฉันก็ไม่เคยย่างเท้าเข้ามาข้างในเลย จำนวนผู้คนมหาศาลและกระแสเงินที่ไหลเข้ามาไม่ขาดสายทำให้ฉันพึงพอใจอยู่เงียบๆ อย่างน้อยมันก็ทำกำไรได้ดี

เราเดินตัดผ่านห้องไปอย่างไม่รีบร้อน สายตาของฉันกวาดมองทุกรายละเอียด แต่จุดสนใจของฉันอยู่ที่ห้องวีไอพี เซอร์จิโอก้าวไปข้างหน้าแล้วเปิดประตูให้ฉันเข้าไปก่อน บรรยากาศเปลี่ยนไปในทันที

ห้องนี้คือความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างความหรูหราและความน่าเกรงขาม เฟอร์นิเจอร์หนังสีเข้ม แสงไฟสลัวทอดเงาพาดผ่านผนัง ตรงกลางห้อง ลีอันโดร คูเปอร์ คุกเข่าอยู่โดยมีลูกน้องของฉันคนหนึ่งกดตัวไว้ เขาตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด ความกลัวแผ่ออกจากร่างของเขาอย่างรุนแรงจนแทบจะจับต้องได้

ฉันนั่งลงบนโซฟาหนัง ไขว่ห้างอย่างสบายๆ ตามที่คำนวณไว้ ฉันหยิบบุหรี่ขึ้นมา และแจ็คผู้ใส่ใจเสมอ ก็จุดไฟให้ฉันก่อนที่ฉันจะต้องเอ่ยปาก

การสูบบุหรี่ก่อนลงมือฆ่าเป็นเหมือนพิธีกรรม เป็นการเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับสิ่งที่จะตามมา

“ลีอันโดร” ฉันเรียกชื่อเขาเรียบๆ อัดควันเข้าปอดช้าๆ ก่อนจะพ่นมันออกมา “มองข้า”

เขาลังเล แต่ก็รู้ดีว่าการขัดขืนจะเลวร้ายกว่า เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดผวา มือที่สั่นเทาพยายามจะรักษาศักดิ์ศรีที่พอจะมีอยู่บ้าง

“เจ้ารู้ว่าข้ามาที่นี่ทำไม” ฉันพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าหวังว่าเจ้าจะมีอะไรที่น่าสนใจจะพูดมากกว่าข้อแก้ตัวนะ”

ความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็นคำอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง

“ด-ได้โปรด นายท่าน... ข-ขอความเมตตา... กระผมจะจ่าย... กระผมมีเงินห้าพันดอลลาร์... นอกจากนี้ กระผมยังทำงานไม่ได้หยุด... ได้โปรดเถอะครับ...”

เขาสะอึกสะอื้นจนสำลักลมหายใจตัวเอง ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ฉันกลอกตาอย่างรำคาญกับท่าทีน่าสมเพชของเขา ฉันอัดควันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วดีดบุหรี่ลงบนพื้นก่อนจะขยี้มันด้วยปลายรองเท้า

ฉันลุกขึ้นยืนช้าๆ สายตาจ้องมองเขาอย่างเย็นชาและไม่ยินดียินร้าย

“เจ้ารู้ไหมว่าข้ารักอะไร” เสียงของฉันกดต่ำ เจือไปด้วยความสนุกสนานอย่างโหดร้าย “ข้ารักการฆ่า การได้เฝ้ามองชีวิตเหือดหายไปจากดวงตาของใครสักคนมันช่างงดงาม ยิ่งเจ้าร้องขอชีวิตมากเท่าไหร่ ข้ายิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น”

ร่างทั้งร่างของเขาแข็งทื่อ ความหวาดกลัวแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของสีหน้า

ฉันกระชากผมของเขาเต็มกำมือ ดึงศีรษะให้แหงนกลับมาและบังคับให้เขาสบตาฉัน ดวงตาของเขาคลอไปด้วยน้ำตา ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด

“เจ้าทำพลาดที่ยืมเงินจากข้า” ฉันพูดต่อ น้ำเสียงชุ่มโชกไปด้วยความสุขสมอย่างซาดิสม์ “เพราะข้าไม่ใช่คนที่จะให้โอกาสครั้งที่สอง ข้ามันพวกซาดิสม์ ลีอันโดร ข้ามันไอ้โรคจิตที่สุขสมกับการได้มองคนอย่างเจ้าทนทุกข์ทรมาน”

ร่างทั้งร่างของเขากระตุกเกร็งด้วยความกลัว มือของเขาเกาะเกี่ยวชุดสูทของฉัน เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายอันน่าสมเพชที่จะช่วยชีวิตตัวเอง

“ข้าเสียใจด้วย” ฉันพึมพำ ปล่อยมือจากผมของเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ “อวัยวะของเจ้าจะถูกนำไปขายในตลาดมืดเพื่อชดใช้หนี้ แต่ในเมื่อข้าใจกว้าง ข้าจะให้เจ้าตายเร็วหน่อยก็แล้วกัน ถือว่าเจ้าอุตส่าห์รวบรวมเงินมาได้บ้าง”

เลอันโดรสะอึกสะอื้นอย่างควบคุมไม่ได้ เขากอดรัดฉันแน่นขึ้นไปอีก เสียงของเขาขาดห้วงเป็นคำวิงวอนที่ฟังไม่เป็นศัพท์

ฉันค่อยๆ จัดสูทของตัวเองให้เข้าที่ขณะที่เขาจมดิ่งอยู่ในความสิ้นหวังของตนเอง

ฉันนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง พลางส่งสัญญาณเล็กน้อยให้เซอร์จิโอ เขาชักปืนออกมายิงเข้าที่ศีรษะของเลอันโดรโดยไม่ลังเล

เสียงปืนดังก้องไปทั่วห้อง ร่างของเขาล้มลงกระแทกพื้นดังตุบ เลือดไหลนองไปทั่วพรม

ฉันมองภาพตรงหน้า พลางมีรอยยิ้มพึงพอใจผุดขึ้นที่มุมปาก

แต่แล้ว—เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันจากนอกห้องวีไอพีก็ขัดจังหวะความสุขของฉัน

แจ็คตอบสนองทันที เขาผลักประตูเปิดออกแล้วลากใครบางคนเข้ามาข้างใน ชายหนุ่มคนหนึ่งถูกโยนลงมาแทบเท้าฉัน สีหน้าของเขาแข็งค้างด้วยความตกใจ แรงกระแทกทำให้เขาทรุดลงไปคุกเข่า ดวงตาที่เบิกกว้างจับจ้องอยู่ที่ร่างไร้วิญญาณของเลอันโดรซึ่งจมอยู่ในกองเลือด

“แหม แหม... เราเจออะไรเข้าล่ะเนี่ย” น้ำเสียงของฉันราบรื่นเจือแววขบขัน “สายลับตัวน้อย”

เด็กหนุ่มตัวสั่นเทา ไม่สามารถละสายตาไปจากศพได้ ความหวาดกลัวของเขามันช่างดิบเถื่อนและน่ามัวเมาจนฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวฉันปั่นป่วนขึ้นมา

เรื่องนี้... ทำให้ฉันพอใจเกินกว่าที่ควรจะเป็น

ฉันโน้มตัวเข้าไป ใช้มือกำขากรรไกรของเขาไว้แน่น รู้สึกได้ว่าทั้งร่างของเขาเกร็งเหมือนสัตว์ที่ติดกับ

“ด-ได้โปรด...” เขาพึมพำ เสียงสั่นเครือและขาดห้วง “ย-อย่าฆ่าผมเลย... ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น... ได้โปรด...”

ทุกถ้อยคำของเขายิ่งทำให้ฉันพึงพอใจมากขึ้น

บางอย่างในแววตาที่หวาดผวาของเขา ท่าทีที่เขาพยายามกล้ำกลืนเสียงสะอื้น... บางอย่างในตัวเขามันแตกต่างออกไป

ฉันไม่เคยรู้สึกดึงดูดผู้ชายมาก่อน แต่เด็กคนนี้... คนนี้น่าสนใจ

ฉันบีบกรามของเขาแน่นขึ้น เรียกเสียงครางแผ่วๆ ออกมาจากริมฝีปากเขา—เสียงที่ทำให้รอยยิ้มของฉันกว้างขึ้น

บางที... ฉันอาจจะเจอของเล่นชิ้นใหม่แล้วก็ได้

“นายชื่ออะไร” ฉันถาม น้ำเสียงหนักแน่นแต่หยาดเยิ้มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่มุ่งร้าย

“อ-แอชเชอร์ เบนเน็ตต์” เขาตอบเสียงตะกุกตะกัก น้ำเสียงถูกบีบรัดด้วยความกลัว

“แอชเชอร์ เบนเน็ตต์...” ฉันพึมพำ เปล่งชื่อนั้นช้าๆ ราวกับจะลิ้มรสมัน มันช่างเป็นชื่อที่ถูกใจ

สายตาของฉันไล่สำรวจเขาราวกับจะกลืนกิน เก็บทุกรายละเอียด—ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาเป็นประกายภายใต้แสงสลัว ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก และบางอย่างในตัวเขากระตุ้นปฏิกิริยาในตัวฉันอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

ชั่วแวบหนึ่ง ความคิดที่จะครอบครองเขาทั้งตัวตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ผุดขึ้นในหัวฉันรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด

ฉันปล่อยขากรรไกรของเขา ให้เขาได้หายใจ แล้วยิ้ม—รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยเจตนาร้าย

“อย่าแพร่งพรายอะไรออกไปเชียว โซจุง” ฉันกระซิบ น้ำเสียงคมกริบดุจใบมีด

ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความสับสน คิ้วขมวดเข้าหากันชั่วครู่ เขาไม่เข้าใจคำนั้น แต่ความหวาดกลัวมันท่วมท้นจนทำได้เพียงพยักหน้าอย่างร้อนรนราวกับว่าชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย

“ค-ครับ... ผม... ผมสัญญา...”

ฉันโน้มตัวเข้าไปเล็กน้อย สายตายังคงจับจ้องที่เขา ดื่มด่ำกับความกลัวที่สิ้นหนทางของเขาในทุกอณู

“ไปได้แล้ว แต่เราจะได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้” ฉันปล่อยให้ถ้อยคำหลุดจากริมฝีปากราวกับยาพิษอันหอมหวาน

แอชเชอร์พยุงตัวลุกขึ้น ขาสั่นเทาจนแทบล้มลงไปอีกครั้ง การได้มองดูท่าทางหนีตายอันน่าสมเพชของเขาทำให้ฉันรู้สึกขบขันเกินกว่าที่ควรจะเป็น ฉันมองตามร่างของเขาที่หายลับไปตามทางเดิน พลางยกยิ้มมุมปากอย่างไม่รีบร้อน

สายตาของฉันเหลือบไปมองแจ็คกับเซอร์จิโอที่ยังคงยืนนิ่งไม่แสดงอารมณ์เช่นเคย—แต่ชั่วแวบหนึ่ง ฉันเห็นบางสิ่งที่หาได้ยากบนใบหน้าของพวกเขา นั่นคือความประหลาดใจ

พวกเขารู้ว่าฉันไม่เคยปล่อยให้พยานรอดไปได้

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา

“ไปสืบเรื่องของเขาทุกอย่าง ฉันต้องการทุกรายละเอียด เขาอยู่ที่ไหน คบค้าสมาคมกับใคร นิสัยเป็นยังไง... ทุกอย่าง ห้ามปิดบังอะไรฉันเด็ดขาด” ฉันสั่ง น้ำเสียงเฉียบคมราวน้ำแข็ง

แจ็ครีบเก็บซ่อนความสนใจของตนเอง แล้วส่งต่อคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสาร ส่วนเซอร์จิโอก็แค่พยักหน้ารับคำโดยไม่ซักถาม

ฉันเอนหลังพิงโซฟา ถอนหายใจยาว

ใบหน้าที่หวาดกลัวของแอชเชอร์ยังคงติดอยู่ในความคิดของฉัน แววตาที่เปราะบางของเขาตามหลอกหลอนไม่หยุด

ฉันเลียริมฝีปาก พลางแสยะยิ้มดุร้ายราวกับสัตว์ป่า

“ฉันจะต้องได้ตัวเขามา ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่” ฉันพึมพำ “เขาเป็นของฉันแล้ว”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป