บทที่ 2 ต้นตอของปัญหา

ธนบัตรปึกใหญ่ถูกวางลงตรงหน้าหญิงวัยกลางคนที่มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของนับดาว ทันทีที่เงินปึกใหญ่ถูกเลื่อนมาตรงหน้า นางบังอรก็หยิบเงินขึ้นมาถือด้วยสายตาวาวโรจน์เป็นประกาย ราวกับเป็นของที่รอคอยมาครึ่งค่อนชีวิตก็ไม่ปาน

“ฮือๆ น้าอรจ๋า ดาวไม่ไป น้าอรอย่าขายดาวแบบนี้เลยนะ ดาวขอร้อง”

หญิงสาวร่างท้วมสวมกอดขาแม่เลี้ยงตัวเองเอาไว้แน่นอีกครั้ง นับดาวคิดว่าตัวเองร้องไห้ออกมาแทบขาดใจ ดวงตากลมโตแดงช้ำจนรอบ เพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนักเป็นเวลาร่วมชั่วโมง

นางสาวนับดาว มนัสวงศ์...

หญิงสาวผมยาววัยยี่สิบสามปี สัดส่วนอวบอัด หน้าตาจิ้ม ผิวขาวเนียนตามแบบคนเป็นแม่แท้ๆ เธอร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจตั้งแต่เช้าของวันนี้ เมื่อทราบจากนางบังอรผู้เป็นแม่เลี้ยงว่าหล่อนจะขายเธอให้กับเจ้าหนี้หนุ่มรายใหญ่ ที่นางบังอรไปกู้หนี้ยืมสินมาจากลูกน้องของเขา

‘ณฉัตร วิริยะกุล’ ลูกเสี้ยวไทยอังกฤษที่ใครๆต่างชมว่าเขาช่างแสนเพอร์เฟค เขาเจ้าของผับชื่อดังและเป็นนักธุรกิจหนุ่มหน้าตาดี ที่มีทั้งธุรกิจสีขาวและสีเทาเต็มไปหมด และเขาคือคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนับดาวในตอนนี้

อันที่จริงพื้นเพครอบครัวของนับดาวไม่ได้ยากจนอะไร เป็นคนระดับกลางที่อยู่แบบพอมีพอกินสุขสบายไปตามอัตภาพ ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองใดๆ เพราะนายเอกรัตน์ผู้เป็นพ่อของนับดาวนั้น เป็นที่ปรึกษาอาวุโสให้กับบริษัทผลิตอะไหล่รถยนต์ที่ทำงานด้วยกันมานานตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ

แม้พ่อจะเปิดรับนางบังอรเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวหลังแม่จากไป นั่นก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกไม่ดีหรือความไม่สบายใจอะไรให้แก่ครอบครัวหรือตัวนับดาวมากนัก

เพราะนับดาวตั้งใจเอาไว้จะไม่เข้าไปก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวของคนเป็นพ่อ ตั้งแต่ที่แม่จากไปพ่อก็ทุ่มเทให้งานและตัวเธอมากพอแล้ว อะไรที่พ่อทำแล้วมีความสุข เธอก็ยินดีกับสิ่งนั้นด้วยเสมอ และส่วนมากเธอเองก็ไม่ได้ไปสนใจหรือสุงสิงอะไรกับแม่เลี้ยงมากเกินจำเป็นอยู่แล้ว เพราะรู้สึกได้...ว่าลึกๆ นางบังอรเองไม่ได้ชื่นชอบหรือชื่นชมเธอเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อเลยสักนิด

นับดาวไม่ถูกใจแค่เรื่องเดียวที่เธอทราบมา นั่นคือนิสัยของแม่เลี้ยงที่ชอบเข้าบ่อนเล่นการพนันอยู่บ่อยๆ เรื่องนี้พ่อเธอรู้ดีแต่กลับไม่ได้สนใจข้อเสียนั้นมากนัก ท่านขอแค่ให้นางบังอรรู้ขอบเขตและความพอดีของตัวเองก็เท่านั้น

จนกระทั่งเมื่อนับดาวอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี พ่อของเธอก็ล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง จากครอบครัวที่พอมีพอกิน ต้องเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือหลังมือ

เพราะถึงแม้ว่านายเอกรัตน์ พ่อของนับดาวจะมีประกันสุขภาพและสวัสดิการของบริษัทรองรับเรื่องค่ารักษาพยาบาลอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะเอามารักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลามแบบที่ท่านเป็นอยู่ เงินเก็บราวหนึ่งล้านบาทที่มีถูกเอาออกมาใช้รักษาตัวนายเอกรัตน์จนเกือบหมดบัญชี

ทรัพย์สินต่างๆ ถูกขายแปรสภาพให้เป็นเงินสด เงินช่วยเหลือจากบริษัทไม่เพียงพอ นางบังอรจึงไปยืมเงินจากลูกน้องคนสนิทของณฉัตรเพื่อมารักษานายเอกรัตน์ เพราะหวังว่าจะรักษาอาการป่วยให้หายได้ นางไม่อยากลำบากในตอนนี้ถ้าเกิดว่าสามีเป็นอะไรขึ้นมา

แต่สุดท้าย...เอกรัตน์ก็จากไปแบบไม่มีวันหวนกลับมาได้อีกแล้วในปีต่อมา

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นางบังอรผู้เคยสุขสบายรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำตาย ตลอดเวลาสิบสองปีที่อยู่กินกับเอกรัตน์มา นางไม่เคยลำบากลำบนเหมือนก่อนเลยสักนิด เพราะได้สามีที่ดูแลดีเสียจนลืมไปว่า ครั้งก่อนนั้นตัวเองก็เคยเป็นแม่ค้าหาบเร่ ทำงานลำบากลำบนแทบตาย กว่าจะมาเป็นคุณนายที่ใช้แต่เงินแบบนี้

และเพราะการจากไปของสามีตัวเอง ที่ทิ้งมรดกก้อนหนึ่งเป็นเงินประกันเอาไว้ ก็ยังยกให้ลูกสาวตัวเองเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ยอมแบ่งให้นางบังอรเลยแม้แต่บาทเดียว เลยทำให้คนที่เคยเอ็นดูนับดาวอยู่บ้างเผยธาตุแท้ความเห็นแก่ตัวออกมาอย่างน่ากลัว เงินประกันที่ควรเป็นของนับดาวถูกริบมาเป็นของตัวเองจนหมด

ด้วยเหตุผลเพียงว่า...จะคอยดูแลเด็กสาวและดูแลบ้านให้ดีเหมือนตอนที่พ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่

แต่ในความเป็นจริงแล้ว...เงินก้อนนั้นถูกใช้หมดลงในระยะเวลาไม่ถึงสามเดือน เพราะนางบังอรหวังว่าถ้าเอาเงินนี้ไปลงทุนในบ่อน เงินอาจจะงอกเงยขึ้นมามากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้

จากเงินหลักพันก็แปรเปลี่ยนหลักไปเรื่อยๆ จนแทบหมดตัว ความเครียดเรื่องเงินที่กำลังหมดลงมาพร้อมกับการเจอหน้าลูกน้องคนสนิทของณฉัตรที่ประเดประดังเข้ามาจนนางแทบเป็นบ้า เลยต้องแบกหน้าไปกู้ยืมเงินญาติพี่น้องที่เคยช่วยเหลือมาลงทุนกับบ่อนอีกครั้ง

และเพราะ ‘ผีพนัน’ เข้าสิงมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย... เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ญาติคนหนึ่งให้ยืมมาก็หมดลงด้วยระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป