บทที่ 5 Chapter 5
ร่างกายนรินทร์วิภาอ่อนล้ามากขึ้น เนื่องจากเมฆินทร์ไม่ได้อนุญาตให้เธอกินข้าว ให้ดื่มแค่น้ำประทังความหิว เธอจะได้กินต่อเมื่อเขาสั่ง ซึ่งก็ปาไปกว่าสี่โมงเย็น
“กินข้าวได้แล้ว กินเสร็จจะได้ไปอาบน้ำ” อ้อยส่งจานข้าวให้นรินทร์วิภา ที่รับจานข้าวจากอ้อยมากินอย่างรวดเร็ว แม้ว่าอาหารจานนี้คือ ไข่เจียวโปะบนข้าวสวย แต่สำหรับเชลยสาวคิดว่า เป็นอาหารที่วิเศษที่สุด อ้อยมองดูนรินทร์วิภากินข้าวแล้วสงสาร ท่าทางคงหิวมาก กินแบบหน้าไม่เงยเลย
“ขอบใจมากนะอ้อยที่เอาข้าวมาให้ฉันกิน อร่อยมากเลย” นรินทร์วิภาไม่ได้โกหก
“ข้าวไข่เจียวเนี่ยนะอร่อย”
“สำหรับคนไม่มีจะกินหรือเพิ่งได้กินเป็นมื้อแรกอย่างฉัน แค่นี้หมายถึงอาหารเหลาแล้ว”
“ก็น่าจะใช่ ไม่ได้กินอะไรทั้งวันนี่ นอกจากน้ำ” อ้อยพูดไปสงสารไป “ไปอาบน้ำกันดีกว่า ตัวเธอคงเหนียวมาก ทำงานทั้งวัน”
“ฉันอยากอาบน้ำมากๆ เลย ทั้งเหนียวตัว ทั้งร้อน ไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อ...” เสียงนรินทร์วิภาขาดหาย เมื่อหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืน น้ำตาไหลรินลงมาทันใด
“น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไรเธอนะ เพราะก่อนหน้านี้คนที่นี่โดยเฉพาะนายเมฆเสียน้ำตาแทบเป็นสายเลือด เสียใจไม่ต่างกับเธอตอนนี้หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำไป นายยังผ่านช่วงนั้นมาได้เลย เธอก็ต้องผ่านไปได้เหมือนกัน” อ้อยพูดความจริงเชิงปลอบ
นรินทร์วิภาไม่ได้พูดคำใด เธอตระหนักดีว่า ตัวเองผิดเต็มประตู ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย ทว่าเรื่องที่เมฆินทร์ทำกับตนนั้น มากเกินไป มากเกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะรับได้
ทว่า...ก็ต้องผ่านไปให้ได้ คงไม่มีอะไรหนักกว่านี้อีกแล้ว
<><><><><><><><><><><>
สถานที่ที่อ้อยพานรินทร์วิภาไปอาบน้ำ หาใช่ห้องน้ำในส่วนที่พักคนงาน แต่เป็นลำธารไม่ไกลจากบริเวณไร่มากนัก เดินไปเพียงสามร้อยเมตร สองข้างทางที่เดินไปยังจุดหมาย ไม่ได้รกร้างน่ากลัว เป็นทางเดินความกว้างราวหนึ่งเมตรครึ่ง ทอดยาวตั้งแต่เขตไร่ไปยังลำธาร
เสียงน้ำตกดังอยู่ไม่ไกล ฟังจากเสียงก็พอคาดเดาว่า มันต้องเป็นน้ำตกที่ใหญ่มาก เดินอีกไม่ถึงห้าสิบเมตร สองสาวเดินมาถึงจุดหมาย
“เป็นไง สวยไหม” อ้อยถามเมื่อเห็นนรินทร์วิภามองน้ำตก
“สวยมากเลย ไม่คิดว่าที่นี่จะมีน้ำตกสวยๆ แบบนี้” น้ำตกมีความสูงราวหกสิบเมตร สายน้ำไหลลงมาจากผาหินสูง ความกว้างราวยี่สิบห้าเมตร ไหลลงสู่ลำธารเบื้องล่าง ด้านข้างน้ำตกเป็นโขดหินขนาดใหญ่ ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเขียวขจี และยังมีดอกไม้ป่าขึ้นแซม ภาพธรรมชาติตรงหน้าช่างสวยงามและร่มรื่น
“น้ำตกที่นี่มีน้ำตลอดปี แต่จะมีเยอะช่วงหน้าฝน” อ้อยบอกขณะเตรียมตัวลงน้ำ นรินทร์วิภามองอ้อยที่สวมผ้าถุงทับกางเกง สอดเข้าไปในเสื้อ ขยับขึ้นสูงจนถึงทรวงอก เหน็บผ้าถุงกันหลุด ก่อนถอดเสื้อ ตามด้วยเสื้อชั้นในและกางเกง “เธอไม่เปลี่ยนชุดเหรอ ฉันเอาผ้าถุงมาให้เธอด้วยนะ หรือว่าใช้ผ้าถุงไม่เป็น”
“อาบที่อื่นไม่ได้เหรอ” นรินทร์วิภาบอกเสียงอ่อน “ฉันไม่เคยอาบน้ำแบบนี้น่ะ”
“หัดไว้สิ อะไรที่ไม่เคยก็ต้องหัดต้องลอง เพราะเธอคงอยู่ที่นี่อีกนาน” อ้อยตอกย้ำ “น้ำที่นี่เย็นสบาย อากาศก็ดี ไม่ต้องเข้าคิวอาบน้ำ อีกอย่างไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาถ้ำมอง ที่นี่ไม่มีผู้ชายเข้ามาหรอก เพราะนายเมฆสั่งไว้ เพราะนายรู้ว่าคนงานหญิงชอบมาอาบน้ำ นายเลยให้คนงานชายไปเล่นตรงท้ายไร่”
นรินทร์วิภาหน้าเศร้าลงกับคำว่า อยู่ที่นี่อีกนาน หากเป็นเช่นนั้น เธอก็ต้องเรียนรู้ อยู่ให้ได้และอยู่ให้เป็น ประโยคหลังทำให้ความกังวลของเชลยสาวลดลง เธอจึงเปลี่ยนชุดอาบน้ำเป็นผ้าถุง แบบเดียวกันกับอ้อย จากนั้นก็ก้าวลงไปในลำธาร
หวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน บวกกับกลิ่นเหงื่อไคลจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน นรินทร์วิภาใช้สบู่ขัดตัวแรงๆ ขัดไปร้องไห้ไป หวังให้สบู่ขัดคราบน้ำมือชายเหล่านั้นให้หลุดปากตัว แม้ว่าร่างกายสะอาดสะอ้าน กลิ่นหอมฟุ้ง แต่ความรู้สึกในใจขัดเท่าไหร่ไม่หลุดไปเสียที ราวกับว่ามันฝังลึกเข้าสู่หลุมดำไม่สามารถขัดมันออกไปได้ เธอเสียใจมาก ไม่คิดว่าเรื่องเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับตน
สองสาวอาบน้ำไปด้วยเล่นน้ำไปด้วย อ้อยไปเล่นน้ำตรงข้างโขดหิน นรินทร์วิภาเห็นดอกไม้ขึ้นระหว่างโขดหินใกล้กับน้ำตก เธอจึงว่ายไปดูใกล้ๆ จึงไม่เห็นว่า อ้อยเดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าริมลำธาร ความที่เธอมัวแต่สนใจดอกไม้ จึงไม่รู้ว่า ใครเดินมาคุยกับอ้อย
หลังจากอ้อยเดินกลับห้องพัก เมฆินทร์มองเชลยสาวตาวาวโรจน์ เขาถอดเสื้อผ้าออกจากเหลือเพียงบ๊อกเซอร์ติดกาย เขาก้าวลงไปในลำธาร ความที่ความสูงของน้ำเพียงแค่ระดับเอว เมฆินทร์ใช้วิธีการเดินในน้ำไปหานรินทร์วิภา ที่ไม่รู้ตัวว่าซาตานตัวร้ายกำลังย่างกายเข้าใกล้
“ว้าย!” คนกำลังมองดอกไม้เพลินๆ อุทานตกใจ เมื่อร่างกายถูกลำแขนของใครบางคนรัดจากทางด้านหลัง เธอหลุบตามองแขนก็พอเดาได้ว่า เป็นแขนผู้ชาย ความกลัวบวกตกใจ โดยไม่ได้หันมองเจ้าของแขน“ปล่อยนะ ปล่อย”
“หยุดดิ้นได้แล้ว แม่สาวน้อยร้อยผัว” นรินทร์วิภาหยุดดิ้นทันที เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู และมีเขาคนเดียวที่เรียกตนแบบนี้ แต่ก็พยายามแกะมือของเขาออก
“ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อยไง” นรินทร์วิภาทั้งตีทั้งทุบไปบนลำแขนแข็งแรง แต่เขาไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยสักนิดเดียว
“ไม่ปล่อย มีอะไรไหม” เมฆินทร์ไม่พูดเปล่า แนบปากลงบนลำคอหอมกรุ่นของเธอ รั้งร่างเล็กให้ชิดกับตนมากขึ้น จนแผ่นหลังสาวแทบหลอมกับอกกว้าง
“ปล่อยฉัน...ปล่อยสิ” เธอดิ้น ดึงแขนเขาออก
“ไม่ปล่อย” คนตัวโตพูด คนตัวเล็กตัวสั่นยิ่งกว่าแช่ตัวในน้ำเย็นเฉียบเสียอีก ทำอะไรไม่ถูก ยืนนิ่งให้เขาลากริมฝีปากไปตามผิวเนื้อช่วงท้ายทอย คลอเคลียไปมา “อย่าทำตัวเหมือนไม่เคยหน่อยเลย รู้กันอยู่ว่าผ่านมาเท่าไหร่แล้ว หรือจะให้ฉันทวนให้ฟัง ว่าใครทำอะไรเธอบ้าง ฉันน่ะจำได้หมดเลยนะ”
นรินทร์วิภาหยุดดิ้นรน น้ำตาร่วง ความเสียใจที่ไม่เคยจางหายจากจิตใจผุดขึ้นมาอีกทำนบ ไม่รู้นะหมดไปจากใจหรือไม่
