บทที่ 7 Chapter 7

Chapter 7

นรินทร์วิภาเดินทางกลับมายังห้องพักของเธอด้วยท่าทีอิดโรย ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ร่างกายเจ็บระบมไปทั่วตัว โดยเฉพาะใจกลางร่างกาย ก้าวแต่ละก้าวที่เดิน มันช่างทรมานเธอยิ่งนัก หนทางที่ไม่คุ้นเคยบวกกับความมืดมิดของหนทาง ทำให้เธอเดินออกนอกเส้นทางอย่างไม่รู้ตัว เพราะหลังจากที่ช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวดผ่านพ้นไป เมฆินทร์ลุกขึ้นแต่งตัวและเดินออกมาจากถ้ำโดยไม่สนใจเธอเลย นรินทร์วิภาจึงต้องเดินกลับมายังบ้านพักเอง โดยที่เธอไม่รู้จักทาง

หญิงสาวยืนร้องไห้อยู่ท่ามกลางป่ารก ที่ไม่มีเสียงของสัตว์ชนิดใดๆ มีแต่เสียงลมที่กรรโชกแรง ที่เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนว่ากำลังจะมีพายุ นรินทร์วิภาเหลียวซ้ายมองขวาอย่างหวาดกลัว แรงของลมเริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนต้นไม้น้อยใหญ่ต่างสั่นไหวตามแรงลมที่เข้ามาปะทะ เสียงสัตว์ป่าที่สงบเริ่มมีเสียงดังไปทั่วอย่างตื่นตระหนก ยิ่งทำให้เธอเพิ่มความกลัวมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ

เม็ดฝนกระทบกับใบหน้าของเธอเม็ดแล้วเม็ดเล่า หญิงสาวนั่งหลบฝนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่  เนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกปอนด้วยสายฝนที่โหมกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา สายฟ้าฟาดเปล่งประกายเป็นแสงวับวาวดูน่ากลัวและเสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องไปทั่วป่า ร่างบางนั่งชันเข่าใบหน้าซุกอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองข้าง ปล่อยหยาดน้ำตาลงมาผสมกับสายฝน เธอเหมือนลูกนกกำลังหลงทาง ไม่สามารถโบกโบยบินด้วยปีกที่ไม่แข็งแรง  ยืนหยัดด้วยขาที่อ่อนล้าไม่ได้  เธอจึงต้องนั่งอยู่อย่างนั้นอย่างสิ้นไร้หนทาง  มีเพียงความคิดเดียวตอนนี้ที่เธอต้องการมากที่สุดคือ เธออยากกลับบ้าน

เมฆินทร์ยืนมองสายฝนที่โหมกระหน่ำอย่างหนัก นัยน์ตาคมเข้มจ้องมองที่ทางเดินเข้ามาภายในบ้านพักของเขา ผ่านไปกว่าสามชั่วโมงแล้ว ที่เขากลับมา ที่บ้าน เขาเดินออกมาจากถ้ำทันทีที่หาความสุขจากร่างกายที่หอมหวานของ          นริทร์วิภา ไม่สนใจร่างที่นอนคุดคู้อยู่ที่พื้น ไม่สนใจว่าเธอจะเดินทางกลับมายังบ้านพักถูกหรือไม่

“นายครับ ออกไปตามดีไหมครับ” วิชัยใจกล้าถามผู้เป็นเจ้านาย  เมฆินทร์ไม่ตอบ แต่กลับกระดกวิสกี้ราคาแพงเข้าไปในปากจนหมดแก้ว ก่อนจะวางไว้ที่โต๊ะเตี้ยๆ หน้าโซฟา

“ฉันจะนอนแล้ว.ถ้าใครออกไปข้างนอกตอนนี้ โดยไม่บอกฉัน พรุ่งนี้เตรียมตัวเป็นตายได้เลย” คำพูดเชิงคำสั่งของเมฆินทร์เป็นคำตอบได้ว่า คืนนี้จะไม่มีคนออกไปตามหานรินทร์วิภา ที่ไม่รู้ว่าจะเดินหลงไปที่ไหน วิชัยถอนหายใจก่อนจะเดินไปยังห้องพักของเขาที่อยู่ด้านหลังของบ้านหลังใหญ่

สายฝนสงบลงในตอนเช้าตรู่ของวันใหม่ ร่างที่นั่งชันเข่าอยู่ที่ใต้ต้นไม้  ตอนนี้กลับกลายเป็นนอนตัวสั่นแทน ร่างของเธอสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บ  เสียงเพ้อถึงมารดาเล็ดลอดออกมาจากเรียวปากงามอย่างต่อเนื่อง

แก้วชายหนุ่มวัยยี่สิบสามเดินเข้ามาในป่า เพื่อเอาอาหารไปให้เสือลายพาดกลอนสองตัวตามหน้าที่ของตน สายตาของเขามองเห็นร่างของ     นรินทร์วิภาที่นอนตัวสั่นอยู่ที่ใต้ต้นไม้

“คุณ.คุณครับ” แก้วทิ้งถุงใส่เนื้อไก่สี่ตัวไว้ที่พื้น ก่อนจะเข้าไปเขย่าตัวของเธอ แต่เธอกลับไม่ตอบสนองเสียงร้องเรียกของเขา แก้วจึงรีบวิ่งเอาอาหารไปให้เสือทั้งสองตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งกลับมาที่ร่างของนรินทร์วิภาที่นอนตัวสั่นอยู่ในท่าเดิม แก้วช้อนอุ้มร่างของเธอไว้ในวงแขนของเขา ก่อนจะเดินแกมวิ่งมุ่งตรงไปที่บ้านของเมฆินทร์

สายตาดุจเหยี่ยวของเมฆินทร์จ้องมองแก้วที่อุ้มร่างของนริทร์วิภา มุ่งตรงมาหาเขา ที่นั่งดื่มกาแฟอย่างสบายใจอยู่ที่หน้าบ้านพัก ก่อนจะหันไปสนใจข่าวสารในหนังสือพิมพ์ต่อ

“นายครับนาย  ผู้หญิงคนนี้นอนตัวสั่นอยู่ในป่าครับ” แก้วพูดพร้อมกับวางร่างของนรินทร์วิภาที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวที่หน้าบ้าน เมฆินทร์ชายตามองร่างของ  นริทร์วิภาโดยไม่พูดอะไร หยิบแก้วกาแฟที่มีกลิ่นหอมขึ้นจิบ โดยไม่สนใจคำพูดของแก้ว

“นายครับนาย” แก้วพยายามพูดซ้ำ แต่วิชัยยกมือห้ามไว้เสียก่อน

“ถ้าตายแล้วก็เอาไปฝัง ถ้ายังไม่ตาย ก็เอาเข้าไปไว้ที่ห้องของเค้า”

เมฆินทร์พูดอย่างเย็นชาและไร้ความรู้สึก ก่อนจะหยิบหมวกแบบคาวบอยขึ้นมาสวม และเดินไปขึ้นม้าตัวโปรดที่ยืนสง่างามอยู่ที่หน้าลานดิน  ก่อนที่วิชัยจะวิ่งไปขึ้นม้าของตัวเอง เขาได้สั่งให้แก้วและอ้อยดูแลนรินทร์วิภาก่อนที่จะตายด้วยพิษไข้

ร่างของนรินทร์วิภาถูกวางลงบนเตียงไม้ที่แข็งกระด้าง เช่นเดียวกับที่นอนที่ไร้ความอ่อนตัว แก้วมองดูห้องที่แสนอับและเล็ก ห้องนี้เล็กกว่าบ้านพักคนงานของเขาเสียอีก ทั้งเล็กทั้งเหม็นกลิ่นอับชื้น ไม่มีแสงไฟของหลอดนีออน มีเพียงแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาทางบานหน้าต่างเท่านั้น

“อ้อยเอ็งแน่ใจนะ ว่าผู้หญิงคนนี้นอนห้องนี้” แก้วถามอย่างไม่แน่ใจ

“ห้องนี้แหละที่แพมเค้าอยู่ นายเมฆให้นอนห้องนี้” อ้อยพูดก่อนจะเดินเข้ามาหาร่างที่นอนตัวสั่นและร้อนด้วยพิษไข้

“ออกไปได้แล้วพี่แก้ว จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แพมเค้า ยืนอยู่อย่างนี้แล้วจะเปลี่ยนยังไง” อ้อยตวาดแก้วที่ยืนอยู่ด้านข้างของเตียง ก่อนจะเดินออกไปแต่โดยดี อ้อยจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวจนไข้เริ่มลดลง และเหมือนว่านรินทร์วิภาเริ่มรู้สึกตัวแล้ว

บทก่อนหน้า
บทถัดไป