บทนำ
บท 1
-ดาดฟ้า-
ผมทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าภาพเบลอ ๆ ของชั้นบรรยากาศที่สูงลิบจนผมหาจุดโฟกัสไม่ได้ ผมสัมผัสได้แต่เพียงบรรยากาศท้องฟ้าสลัว ๆ ลมพัดโฉบเข้าใบหน้าจนรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก ในสมองและความคิดว่างเปล่าราวกับจะไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว
ผมคิดไม่ออกเลยว่าควรตระหนัก รำลึก ทบทวนสิ่งใดก่อนเป็นอย่างแรกหรือว่าง่าย ๆ คือผมจัดเรียงลำดับเรื่องราวในสมองที่มันถาโถมเข้ามาไม่ได้เลย
การเกิดมาเป็น ‘ธีรปัญญากูร’ เสมือนคำสาปอย่างที่ใคร ๆ ก็ว่าเอาไว้จริง ๆ เพราะยิ่งค้นหาคำตอบมันก็ยิ่งถลำลึกและอันตราย จนผมตั้งตัวรับแทบไม่ไหว
ภายใต้เงาและการปกป้องของพี่ชายอันเป็นที่รัก...ทำไมโลกภายนอกที่ไร้การควบคุมมันช่างโหดร้ายขนาดนี้ แล้วแบบนี้เรื่องราวทั้งหมดจะจบที่ตรงไหนเหรอ ?
เพราะผมนึกไม่ออกเลยว่าจะหลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการที่รัดตัวเองไว้แน่นหนาแบบนี้ได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่คิดว่ากำลังจะไปได้ดี ครอบครัวกำลังสมบูรณ์ เราสี่คน เฮีย พี่พีท เวนิส และผม อาจจะหลุดออกจากวงจรอุบาทว์นี่ได้สักเสี้ยวนึง แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับมืดสนิทราวกับคนมาปิดสวิตซ์ ชักปลั๊กออก ไม่มีแม้แสงสว่าง และไม่พบทางออกใด ๆ นอกจากหนทางข้างหน้าที่ถูกบังคับให้เดินตามไปโดยอัตโนมัติด้วยสายตาที่มืดสนิท เหมือนหมากในเกมที่ถูกติดตั้งและบังคับทิศทางเอาไว้แล้ว ว่าแต่ละคนควรเดินไปทิศทางไหน ทุกคนไม่ได้กำลังแก้ปัญหา แต่กำลังไหลไปตามเกมแบบ
ไม่ทันตั้งตัวต่างหาก แล้วถ้าใครคนใดคนหนึ่งก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ที่ตรงนั้นก็อาจจะเป็นเหวก็ได้
“มาเก๊า...” ผมไม่แม้แต่จะหันไปตามเสียงอันคุ้นเคย ถึงแม้จะรู้ดีว่าเขาวิ่งตามผมขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร
“…” เมฆฝนเริ่มตั้งเค้าจากสีฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีครามอย่างกระทันหันลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“…” เสียงถอนหายใจของคนคนนั้นมันดังมากเหมือนหนักใจกับอะไรบางอย่าง ก็แน่ละสิผมดันไปรู้เรื่องที่ไม่สมควรรู้มา...ผมตระหนักได้ก็วันนี้ ว่าบางทีคนเราอาจจะรู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ เพราะจิตใจคนเรามันยากแท้หยั่งถึง เฮียอาจจะเข้มแข็งและถูกมองเป็นผู้ร้าย พี่พีทอาจจะมองโลกสวยเกินไป และผมถูกผสมผสานโดยสองคนนั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงภัยที่มันใกล้ตัวขนาดนี้
“เพราะอะไรเหรอครับ...” ผมเอ่ยออกมาเสียงเรียบโดยยังหันหลังให้คู่สนทนา
“เพราะพี่ก็คือคนคนนึงที่ต้องการ...”
“แก้แค้น...ใช่ไหม” ผมพูดแทรกโดยไม่ทันให้อีกฝั่งพูดจบ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ชอบขี้หน้าตระกูลหลัก และเกลียดเข้าไส้ขนาดไหน แต่อย่างน้อยความเป็นญาติหรือสายใยอะไรก็ตาม แม้กระทั่งความผูกพันหรือเกลียดชัง ผมก็ไม่ได้หมายความว่า อยากจะให้ใครเจ็บปวด... “ทุกอย่างมันเป็นแผนของพี่ ตั้งแต่เรื่องพี่พอร์ช จนกระทั่งเรื่องแม่ของผม ป๊าของผม หรือพี่ชายของผม...ใช่ไหม” ผมก้มหน้าลงเม้มปากเน้นพยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่มันกำลังจะหลุดออกมา หากเพียงแค่คนในตระกูลฟาดฟันกันเองมันก็น่ากลัวเกินพออยู่แล้ว แต่นี่มันเริ่มเลยเถิดไปกันใหญ่
“ฟังพี่ก่อนนะ...” ผมสัมผัสได้ถึงร่างสูงโปร่งที่เดินเข้าใกล้ด้านหลังผมเรื่อย ๆ พร้อมประโยคที่พูดผะแผ่วและวงแขนที่โอบกอดมาทางด้านหลังผมอย่างอ่อนโยน “...ไม่รักพี่แล้วเหรอ” คำพูดนั้นของเขาทำเอาผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาพร้อมกล้องโพลารอยด์ในมือร่วงหล่นลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ผมไม่ไหวแล้วอ่าพี่...พี่เป็นใครกันแน่” ผมสะอื้นจนตัวโยน จนร่างสูงนั่นผละออกจากแผ่นหลังผม แล้วจับไหล่ผมให้หันไปประจันหน้ากับเขาแทน
“พี่ก็ยังเป็นพี่ไง...พี่ยังเหมือนเดิม พี่หวังดีนะ เชื่อพี่เถอะ”
“ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมทนเรื่องบ้านี่ไม่ไหวแล้ว” ผมพูดพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุด ผมไม่สามารถรับเรื่องราวอะไรไว้ได้เลย ไม่ได้เลยจริง ๆ
“ถ้าเรื่องจบ พี่จะพามาเก๊าหนีไปให้ไกล พี่สัญญา พี่จะลบอดีตทั้งหมดทิ้งซะ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของพี่เถอะนะ” คำพูดหนักแน่นของคนตรงหน้าไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย ผมชะงักนิ่งไปก่อนจะเงยหน้าสบตากับเขาด้วยความแข็งกร้าว
“แล้วถ้าผมไม่ทำตาม...” มือที่จับไหล่ผมไว้นิ่งอึ้ง ในสายตายากที่จะอ่านของคนตรงหน้าเหมือนสับสนวุ่นวายไปหลายนาที เราต่างจ้องกันไปมาอย่างไม่ลดละและมือนั่นก็ค่อย ๆ ปล่อยออกจากร่างผม นัยน์ตานั่นค่อย ๆ แสดงคำตอบออกมาจนผมเจ็บจนจุกไปทั่วทุกอณูของความรู้สึกก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้ายเป็นการอำลา
“จะกำจัดผมไหมครับ...พี่ท็อป...ไม่สิ...มาสเตอร์”
“มาเก๊า...”
…
..
.
-2 เดือนก่อนหน้า-
‘ดั่งคำสัญญา ที่มั่นไว้ ความรักแนบไว้ ในเส้นเสียง
ฝังรอยตำนาน ผ่านวังเวียง จารึกร้อยเรียง เยี่ยงนิรันดร์.’
-Romeo & Juliet-
( William Shakespeare )
“เรื่องราวสองตระกูลที่ขัดแย้งกันกับความรักที่แสนจะคลาสสิกกับโศกนาฏกรรมในตอนจบ...กูว่ามันก็ดีนะ แต่มันซ้ำปะวะมึง มึงคิดว่ารุ่นพี่เรากี่ร้อยคนที่เอาเรื่องนี้มาวิเคราะห์แล้วทำรายงานส่งอาจารย์วะ” ระหว่างที่ผมกำลังขีด ๆ เขียน ๆ ข้อมูลลงในไอแพด เพื่อนในคณะอย่างไอ้เจมส์ก็ออกความคิดเห็น จนทำให้อีกสองคนที่ชื่อ ลูคัสและเฟิร์ส พยักหน้าเห็นด้วย แต่นั่นเป็นความคิดเห็นที่ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“วิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องนี้กูว่าช้ำจนไม่รู้จะช้ำยังไงแล้วมั้ง เพราะตอนจบก็ตายห่ากันเหมือนเดิมอ่า” คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เข้าสมองผมเลยสักนิด ผมยังคงบรรจงจดประโยคเด็ดที่ชอบและวาดแผนผังลวก ๆ เพื่อเก็บเป็นบูเล็ตพอยต์ไว้หาข้อมูล
“จริง ความรักนิรันดร์ที่แสนจะไร้เดียงสา ของเด็กสองคนท่ามกลางความขัดแย้งของตระกูล แต่ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รักกัน อยากหนีไปด้วยกันเลยคิดแผนฆ่าตัวตาย ผู้หญิงแกล้งตาย ผู้ชายเข้าใจผิดผู้ชายเลยตายตาม ผู้หญิงตื่นขึ้นมารับไม่ได้เลยตายไปด้วยอีกคน โศกนาฏกรรมความรักที่เป็นตำนานอันโด่งดัง แต่โลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน และไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ๆ ว่าป่ะ...” ลูคัสลูกครึ่งไทย - ฝรั่งเศสอ่านเรื่องย่อคร่าว ๆ ให้คนทั้งโต๊ะฟังด้วยสำเนียงภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำ
“กูว่าเปลี่ยนเรื่องเถอะมาเก๊า จะวิเคราะห์อิท่าไหนรุ่นพี่เราก็ทำมาหมดแล้ว ต่อให้มึงนั่งวิเคราะห์ นอนวิเคราะห์ ตีลังกาวิเคราะห์ เขาก็ทำกันหมดแล้ว...”ด้วยประโยคนั้นของเพื่อนร่วมคณะทำให้ผมละสายตาจากหน้าจอไอแพดเหลือบมองทั้งสองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมด้วยใบหน้านิ่ง ๆ
“…” เมื่อเห็นผมมองพวกมันด้วยสีหน้าที่ไม่ได้แสดงอาการและปฏิกิริยาอะไรออกไปทำให้ทั้งสามชะงักและนั่งนิ่ง เหยียดตัวตรงทันที
“กู…แค่…เสนอความคิดเห็น...แบบคืนนี้กลับไปหาข้อมูลแล้วมาเสนอกันอีกทีไหม ว่าพวกเราอยากทำเรื่องไหน เผื่อมีอะไรโดนใจ” เจมส์รีบพูดทำลายบรรยากาศที่แสนจะน่าอึดอัด แต่ผมไม่ได้ใส่ใจอยู่ดี และมองดูนาฬิกาผ่านไอแพดก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าด้วยความเงียบ
“จะกลับแล้วเหรอ” เฟิร์สพูดขึ้น
“อื้ม” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงในลำคอ
“งั้นเอาเป็นว่าตามนี้นะ คืนนี้ไปหาข้อมูลกั...” ยังไม่ทันที่เจมส์จะด่วนสรุป ผมก็รีบพูดสวนขึ้นเสียก่อน
“จริง ๆ อาจารย์บอกว่ากลุ่มนึงไม่เกินสี่คน รายงานนี้กูทำคนเดียวก็ได้นะ” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างไม่แยแส แล้วเดินสะพายเป้เดินออกจากม้านั่งที่ใต้ถุนคณะ
“แม่ง! ไม่รับความเห็นต่างว่ะ” เสียงซุบซิบดังแว่วมาตามหลังแต่ผมก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“โอเค ๆ ๆ โรมิโอแอนด์จูเลียตก็ตามนั้น” เจมส์พูดไล่หลังผมที่ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองพวกมัน
“ไอ้เจมส์...”
“ทำไงได้วะ มันเรียนเก่งสุดนี่หว่าเดี๋ยวคะแนนแม่งก็ดึงมีนเซกอีก” ผมถอนหายใจออกมาเมื่อคำนินทาเหล่านั้นยังกระทบโสตประสาทไม่เลิก สามคนนั้นน่ะเหรอ ผมไม่ได้สนใจอะไร เป็นแค่เพื่อนร่วมคณะที่มาขอทำงานกลุ่มด้วยก็เท่านั้น ปกติผมเป็นพวกรักสันโดษไม่ได้มีกลุ่มก้อนหรือจะต้องเข้าพวกกับใคร เพราะตั้งแต่จบมัธยมชีวิตผมก็เจอมรสุมอย่างหนักทุกอย่างในชีวิตถึงจุดเปลี่ยน ความฝันที่เคยอยากเป็นหมอก็หมดไป กลายเป็นเลือกแอดเข้าคณะที่คิดว่าตัวเองจะสบายที่สุดแทน เพราะผมไม่อยากทำอะไรยุ่งยากอีกแล้ว ความหวังในชีวิตเหลือเพียงไม่กี่อย่าง และแน่นอนว่ามันเป็นกำแพงสูงลิบที่จะไม่ทำให้ผมเปิดใจให้ใครเข้ามาได้อีก...
มาเก๊าคนเดิมที่เมื่อก่อนแสบสุด ๆ แถมตอนอยู่มัธยมยังมีแก๊งใหญ่แล้วยังโดนขนานนามว่าเป็นหัวหน้าแก๊ง ได้รับความเคารพจากรุ่นน้อง มีเพื่อนมากมายตกเย็นกินข้าว เดินสยาม กลางคืนแอบไปร้านเหล้ากับเพื่อน ตอนนี้...มันไม่มีแล้วครับ
เพื่อน พี่ น้องของผมต่างเลือนลางและจางหายไปตามเวลา ผมไม่ได้สดใส ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายแบบเมื่อก่อน ไอ้ไผ่ ไอ้เม้ง ไอ้เปา เพื่อนสุดซี้ก็แยกย้ายไปตาม
ความฝันที่ต่างประเทศบ้าง ต่างจังหวัดบ้าง เหลือแค่...
เพื่อนสนิทสุดซี้ของผมเพียงแค่คนเดียว...
Rrrrrrrrrrrrrrr
ผมกดรับสายพร้อมกรอกเสียงด้วยความสบาย ๆ มืออีกข้างล้วงกล่องบุหรี่เดินตรงไปยังมุมตึกที่เป็นจุดสูบบุหรี่ด้วยความเคยชิน
“ว่าไงเช่”
[เมิงงงงงงง เลิกเรียนยัง] ปอเช่ส่งเสียงครวญครางใส่โทรศัพท์เหมือนกำลังซังกะตายกับอะไรสักอย่าง เพื่อนที่เพิ่งสนิทกันได้ไม่นานแต่ผมกลับรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้มัน มันเลื่อนขั้นเป็นคนสำคัญของผมมาด้วยเวลาอันรวดเร็ว
“เลิกแล้ว รอเฮียมารับ”
[ว้าาาา มีนัดแล้วเหรอ ว่าจะชวนเที่ยว] ไอ้เช่ส่งน้ำเสียงผิดหวังออกมา
“เอ้า! ไหนมึงบอกเย็นนี้พี่คิมจะมารับไปดูหนังไงวะ” เพื่อนสนิทคนนี้ก็มีแฟนเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเอง
[มันเทกูอ่า มันบอกมีประชุมด่วน กูเลยกะจะชวนมึงไปเดินหยามเนี่ย]
“ให้กูไปปะละ เดี๋ยวกูเลื่อนนัดเฮียก็ได้” ผมบอกเพื่อนพลางเป่าควันออกมาจากปาก แล้วสูบบุหรี่อัดเข้าปอดอีกหนึ่งรอบ
[ไม่ต้อง ๆ ไว้พรุ่งนี้ก็ได้ ถ้างั้นกูกลับบ้านเลยดีกว่า]
“เย็นนี้เฮียกับพี่พีทบอกจะพาไปกินข้าวนอกบ้าน จะไปด้วยไหมล่ะ” ผมยื่นข้อเสนอให้เพื่อนตัวเองอีกครั้ง
[ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจทะเลาะกับพี่คุณ มึงไปเหอะ แล้วพรุ่งนี้กูเลิกบ่ายเดี๋ยวไปนั่งรอที่ใต้ถุนคณะมึงนะ]
“เออได้”
[เจอกัน]
แล้วปอเช่ก็วางสายไปพร้อมกับบุหรี่ที่หมดมวนพอดี เรื่องราวผมกับปอเช่ก็ไม่ได้จะซับซ้อนมาก พวกเราสนิทกันช่วงที่เป็นรอยต่อระหว่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่ผมเป็นเด็กห้องพิเศษ ปอเช่เด็กห้องธรรมดาเราเลยแทบไม่เคยเจอหน้ากัน แต่จังหวะที่เฮียเข้าโรงพยาบาลผมก็ได้รู้ว่าเขาเป็นแฟนพี่คิมลูกพี่ลูกน้องผม แล้วพี่ชายเขาก็เป็นแฟนพี่คินน์ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องผมอีกนั่นแหละ ถึงผมจะไม่ลงรอยกับบ้านนั้นเท่าไหร่ แต่ปอเช่ก็จัดว่าเป็นคนดีและคอยเป็นห่วงผมในช่วงที่ผมเรียกได้ว่าย่ำแย่ที่สุดในชีวิต เขาพยายามพาผมไปโน่นไปนี่ เพื่อให้ลืมเรื่องราวมรสุมที่ถาโถมเข้ามา จนในที่สุดเราก็สนิทกันแบบที่เปิดใจคุยกันได้ทุกเรื่อง เขาเรียนคณะดุริยางคศิลป์ เอกกีตาร์ ส่วนผมเรียนอักษรศาสตร์ เอกวรรณกรรมแล้วผมสองคนก็ดีใจมากถึงแม้จะไม่ได้อยู่คณะเดียวกันแต่ก็ได้อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน อย่างน้อยเวลาผมไม่ได้อยู่กับเฮียกับพี่พีท ผมก็มีปอเช่อีกหนึ่งคนที่ไปไหนมาไหนกับผมได้แทบจะตลอดเวลา
ขณะที่ผมกำลังยืนเหม่อเล่าสตอรี่ของตัวเองและปอเช่วนอยู่ในสมอง รถแวนที่แสนคุ้นตาก็กำลังเลี้ยวโค้งตรงมายังคณะของผม ผมจึงรีบเอาก้นบุหรี่จัดการใส่ถังแล้วหยิบน้ำหอมในกระเป๋าเป้ขึ้นมาฉีดให้ทั่วตัว ถึงเฮียกับพี่พีทดูเหมือนจะรู้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้อยากจะโจ่งแจ้งขนาดนั้นนี่ครับ อีกอย่างผมไม่อยากให้พี่พีทไม่สบายใจด้วย ถึงเจ้าตัวจะสูบจัดเหมือนกันก็เถอะ
ผมเดินตรงไปยังหน้าตึก ด้วยสายตาที่พราวระยับผิดกับมาเก๊าที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งกับเพื่อนในคณะเมื่อครู่ เพราะผมรู้ว่าในรถคันนั้น มีแต่คนที่เป็นเซฟโซนในชีวิตของผม แล้วเป็นคนที่ผมจะแสดงท่าทางกิริยาอะไรออกไปก็ได้ ความคิดถึงบวกกับความอึดอัดตลอดทั้งวันที่อยู่ในคณะมลายหายไปสิ้น เมื่อประตูรถเปิดและรอยยิ้มประดุจพระอาทิตย์ก็ปรากฏพร้อมน้ำเสียงอันสดใสที่ส่งออกมา
“มาเก๊า วันนี้สนุกไหม” พี่พีทแฟนของเฮียผมรีบลงจากรถอ้าแขนรับผมด้วยความรื่นเริง
“พี่พีทททท” ผมรีบเข้าไปเอาหัวซบไหล่พี่พีทอย่างอ้อน ๆ พี่พีทจัดว่าเป็นเซฟโซนที่ดีที่สุดในชีวิตของผม และเขาทำให้ผมเปิดใจรับด้วยความรวดเร็วเช่นกัน เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะรอยยิ้มที่เป็นเหมือนแสงสว่าง แววตาที่ดูมีความหวัง และที่สำคัญความจริงใจ และซื่อตรง...
ความรู้สึกเหล่านี้ผมไม่เคยได้สัมผัสจากทั้งบ้านตระกูลหลัก ตระกูลรองแต่เพราะเป็นพี่พีทมวลความรู้สึกบางอย่างประเดประดังเข้ามาปลดล็อกความรู้สึกในใจผมได้อย่างง่ายดาย ในวันที่ป๊าเสียชีวิต เฮียอยู่ในห้องไอซียู เรื่องราววุ่นวายได้เข้ามาในชีวิตของผมเหมือนพายุลูกใหญ่ จนผมไม่รู้เลยว่าจะก้าวผ่านวันเหล่านั้นไปได้ยังไง จนกระทั่งผมได้เจอพี่พีท มันเหมือนเป็นฟ้าหลังฝนที่พอพายุผ่านไป เราจะได้เห็นดวงอาทิตย์และสายรุ้งที่สวยงาม
ผมโชคดีจริง ๆ ที่มีทั้งพี่พีทและเฮียคอยอยู่ข้าง ๆ...
“แอ๊ะ...” เสียงเด็กน้อยทำให้ผมเหลือบสายตาไปมองและยิ้มทักทายอย่างทะเล้น รวมถึงไอ้เวนิสนี่ด้วยก็ได้ เบื่อขี้หน้ามันชะมัด เวนิสเป็นน้องชายผมแต่คนละแม่ ซึ่งผมไม่อยากพูดถึงแม่มันเท่าไหร่แต่เพราะพี่พีทรับเลี้ยงเอาไว้ ตอนมันลืมตาดูโลกแม่มันก็หายตัวไปอย่างปริศนา ต่อให้เฮียคัดค้านหรือผมจะต่อต้าน แต่สุดท้ายทั้งผมทั้งเฮียก็ศิโรราบให้คนอย่างพี่พีทอย่างไม่มีข้อกังขา และด้วยความที่พี่พีทเขาเลี้ยงไอ้เด็กหน้าตายนี่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออด เขาก็รักของเขามาก และแน่นอนผมที่ไม่อยากเสียพี่พีทไป ไม่อยากให้พี่พีทผิดหวังในตัวผม ผมก็ต้องอดที่จะต้องหมั้นไส้ไอ้เวนิสไว้ในใจและมองมันด้วยความเอ็นดูเสียไม่ได้
ก็ผมกับเฮียอยากให้พี่พีทมีความสุขนี่ครับ ก่อนที่พี่พีทจะมาเป็นสะใภ้บ้านเรา เขาเคยเป็นอดีตรองหัวหน้าบอดี้การ์ดตระกูลหลักมาก่อน เขาเป็นถึงหัวหน้าบอดี้การ์ดของลูกชายคนโตบ้านนั้น แถมยังขึ้นชื่อเรื่องการเป็นคนโปรด เป็นคนที่ไอ้พี่ใหญ่อย่างไอ้แทนคุณมันทั้งรักทั้งหวง สนิทสนม ร้องเรียกหาแทบจะตลอดเวลาและด้วยศักดิ์ศรีอดีตลูกชายบ้านตระกูลรองอย่างผมก็อยากเลี้ยงดูปูเสื่อพี่พีทอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมไม่ให้แพ้คนพวกนั้น และเข้าใจอย่างสุดซึ้งเลยว่าทำไมพี่พีทถึงมีแต่คนรักคนเอ็นดูแบบนั้น แล้วผมก็ไม่อยากให้พี่พีทกลับไปอยู่บ้านตระกูลหลักอีกแล้วด้วย ก็ผมหวงนี่ครับ! หวงพอ ๆ กับเฮียนี่แหละ ถ้าไม่มีพี่พีทเราสองพี่น้องจะใช้ชีวิติอยู่ยังไงอ่า ผมนึกภาพไม่ออกจริง ๆ ฉะนั้นอะไรที่เป็นความสุขของพี่พีท ผมกับเฮียก็พร้อมทำนั่นแหละครับ อย่างเช่นตอนนี้...
“ถึงแล้ว!!!”
“หื้มมมม ? ที่นี่น่ะเหรอ” ผมหันไปถามพี่พีทที่ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“เบื่อกินข้าวในห้างอ่า” พี่พีทหันมาบอกผม
“คนเยอะเนอะ...” ผมกวาดสายตามองออกไปนอกรถ แล้วพึมพำเบา ๆ แน่นอนว่าเฮียต้อง...
“จริงดิ...ไม่เอาอ่ะพีท คนเยอะจะตาย” เฮียชักสีหน้ามองรอบ ๆ ทันที
“จอดข้างหน้าเลยนพ” พี่พีททำหูทวนลมไม่รู้ไม่ชี้ แล้วบอกนพบอดี้การ์ดคนสนิทพวกผมให้จอดรถในลานจอด
“พีทไม่เอา...นพ ไปสวนอาหารข้าง ๆ ก็ได้” เฮียรีบท้วงทันที
“อะไรอ่ะ ไหนบอกจะพามากินข้าวนอกบ้านไง” พี่พีทเริ่มทำหน้าบึ้ง
“สวนอาหาร ร้านอาหาร หรือในห้างก็นอกบ้านแล้วไหมอ่ะ ที่นี่คนเยอะจะตาย”
“กูอยากกินสตรีตฟูด!” พี่พีทเสียงแข็งออกมา
“กูไม่ค่อยชอบที่แบบนี้” เฮียพยายามพูดเสียงอ่อนลง
“อะไรอ่ะ แค่ตลาดนัดเอง นี่ก็เป็นตลาดแบบวินเทจ มีของน่ารัก ๆ เยอะ อาหารก็เยอะ มึงเรียนมหาลัยมึงก็ต้องเคยเดินกับเพื่อนบ้างสิวะ”
“ก็นั่นมันตอนเรียน แล้วกูก็ไม่ค่อยเดินด้วย”
“กูไม่เคยเรียนมหาลัย แล้วกูก็ชอบฉิบหายตลาดนัดวินเทจ ๆ แบบนี้อ่ะ” ผมหันซ้ายที ขวาที เป็นเพราะผมนั่งเบาะหลังแล้วสองสามีภรรยาเขาทะเลาะกันอยู่ด้านหน้าผม อารมณ์คล้าย ๆ กับป้าข้างบ้านที่เงี่ยหูฟัง ฝั่งโน้นที ฝั่งนี้ที ให้เขาเถียงกันให้จบ
“วันอื่นได้ไหม...วันนี้กูเหนื่อยอ่ะ มึงฝากเวนิสให้กูเลี้ยงทั้งวัน แถมเวนิสก็ก่อเรื่....” เฮียชะงักแล้วทำตีเนียนมองออกไปนอกหน้าต่างทันที ทำให้พี่พีทหรี่ตาลงแล้วมองเฮียจนคิ้วขมวดมุ่น
“เวนิสก่อเรื่อง ? ไหนมึงบอกว่าลูกน่ารักมากเลยไง...เวนิสทำไรอ่ะ”
“อ่ะ ๆ ๆ ๆ ที่นี่ก็ที่นี่ ลงมา ๆ” ผมกับพี่พีทยื่นหน้าไปหาเฮียพร้อมกัน จนเฮียผลักหัวพวกผมสองคนแล้วไล่ลงจากรถแบบโคตรมีพิรุธ วันนี้เฮียกับเวนิสต้องสร้างวีรกรรมอะไรกันไว้แน่ เพราะวันนี้พี่พีทโดนไอ้พี่ใหญ่เรียกไปหาเลยต้องฝากเวนิสให้เฮียพาไปทำงานด้วย คงไม่ได้ราบรื่นสินะ หึหึ
[ตลาดนัด วินเทจ]
แล้วพี่พีทก็พาพวกเราทั้ง 4 คนมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อกันอยู่ที่ร้านหมูกระทะแบบปูเสื่อ ด้านหน้าเป็นโต๊ะญี่ปุ่นและมีกระทะแบบครึ่งวงกลมทรงนูน พร้อมควันที่ลอยโขมงไปทั่ว ถึงคนจะเยอะแล้วเต็มแทบทุกโต๊ะแต่ก็จัดว่าโชคดีที่เราไม่ต้องรอคิว แล้วพี่พีทก็ดูตื่นตาตื่นใจสุด ๆ ผิดกับ ผม เฮีย เวนิส ที่นั่งเหม่อมองเตาด้วยความสิ้นหวังสุดกำลัง
“เอาเซ็ตรวม 1 เซ็ตหมู 1 โค้กขวดใหญ่ น้ำแข็ง 1 ถัง น้ำเปล่าสองขวดครับ” พี่พีทสั่งแบบชำนาญสุด ๆ พร้อมกับแจกจ่ายจาน ถ้วยตะเกียบวางไว้ตรงหน้าพวกผมด้วยความกระตือรือร้น “ช่วยทำหน้าให้มันดีดีกันหน่อยได้มะ กูพามาแดกข้าวไม่ได้พามาฆ่านะเว้ย!”
“อืม…ไม่ค่อยชิน” เฮียตอบเสียงอ่อย ๆ แล้วเอาตะเกียบเขี่ย ๆ เตาเล่น
“อย่าบอกนะว่าไม่เคยมากินอะไรแบบนี้อ่ะ” พี่พีทมองผมกับเฮียสลับกันไปมา
“เคยนะครับกับเพื่อนสมัยมัธยม ตลาดนัดสวนรถไฟอะไรก็ไปบ่อย” ผมรีบบอก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่อิดออดขนาดนี้ แต่นี่อยู่ ๆ มันก็เป็นโรคไม่ชอบที่คน
เยอะ ๆ ไปซะได้ เหมือนจะเป็นแบบเดียวกับเฮียอ่ะ เฮียก็ไม่ชอบที่ที่วุ่นวายแล้วก็คนเยอะ ๆ เหมือนกัน
“มึงล่ะเวกัส ไม่เคยแดกเหรอ”
“เคย…” เฮียตอบสั้น ๆ
“กับใคร” พอมาประโยคนี้ผมก็หันไปเล่นกับเวนิสที่นั่งอยู่บนตักนพดีกว่า แหะ ๆ เหมือนเป็นการเริ่มต้นประโยคที่คล้าย ๆ จะก่อสงครามโลกยังไงก็ไม่รู้ ไม่ยุ่งดีกว่า
“ก็เพื่อน ตอนเรียนมหาลัยนั่นแหละ” เฮียรีบคีบน้ำแข็งลงแก้วทันทีเมื่อพนักงานเอาของมาเสิร์ฟ
“ทำไม ? แล้วทำหน้าเบื่อทำไม ไม่ชอบเหรอหรือปกติกินในห้าง ?” วันนี้เฮียกับพี่พีทเป็นไรวะ เฮียก็มีพิรุธพี่พีทก็จับผิดแปลก ๆ
“กินได้ แต่ไม่ชอบคนเยอะ”
“แล้วตอนเรียนมหาลัยมึงไม่เคยพาใครมาเดินตลาดนัดรึไง” เวนิสเรามาเล่นกันเถอะ กูอยากจะร้องไห้ สองคนนี้นี่รักกันมากครับ รักกันดี ตีกันตาย! ของจริงแล้วเฮียตอนนี้ก็ออกมาทำงานเต็มตัวแล้วด้วย เรียนมหาวิทยาลัยแบบสอบเทียบเอา เก็บหน่วยกิตเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ใช้วิธีเร่งรัดเพราะมีลูกมีเมียแท้ ๆ เลยเฮียกู
“เพื่อนนั่นแหละแต่ไม่บ่อยหรอก มันร้อน”
“แหม…ร้อนนิดร้อนหน่อยนะมึง เมื่อก่อนตอนกูสะกดรอยตามมึง มึงยังพารุ่นน้องมึงไปเดินตลาดอยู่เลย” พี่พีทคีบหมูแล้วกระแทกลงกระทะอย่างประชดประชัน
“เอะ! พีท จะขุดเรื่องเก่า ๆ ทำไมอ่ะ ก็พามากินแล้วนี่ไง”
“ก็มึงไม่เต็มใจอ่ะ แล้วมึงก็มีพิรุธตั้งแต่กูไปหามึงที่บริษัทละนะ” พอประโยคนี้เฮียเหลือบสายตาไปมองเวนิสพร้อมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่า แหน่ะ...ไปทำอะไรไอ้เวนิสแน่ ๆ ล่ะเฮีย
“ไม่มี! กิน ๆ อะ ๆ นี่ ๆ” เฮียรีบคีบหมูใส่จานพี่พีททันที
“มันยังไม่สุก ไอ้ควาย!!” แล้วเฮียกูก็ไม่ดูตาม้าตาเรือหาเรื่องโดนด่าแท้ ๆ “กะให้กูหูดับเหรอมึง แผนสูงนะไอ้สัด!!” เวลาสองคนเขาเถียงเขาพูดคำหยาบกัน เขาจะพูดเบา ๆ ครับ แล้วพี่พีทก็สั่งให้นพอุดหูเวนิสไว้ด้วย
“เปล่า เดี๋ยวกูปิ้งให้ใหม่ มา ๆ”
“สรุปวันนี้มึงมีอะไรปิดบังกูกันแน่!” ผมที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็พยายามวางสายตาไปที่เวนิสที่ดูดจุกน้ำส้มไม่หยุด จนพบกับรอยขีดแดง ๆ ที่แขนเข้า ผมเลยยื่นมือไปแตะ ๆ แล้วหันมองเฮียสลับกับแผลเวนิสไปมาด้วยใบหน้าสงสัย
“แล้วหมูกูนะชิ้นนี้ กูมองอยู่นะ อย่าริอาจคีบไปแดกล่ะ” พี่พีทก็บ่นพึมพำ พยายามบรรจงปิ้งหมูด้วยความทะนุถนอมราวกับเลี้ยงดูไอ้เวนิส ผมที่นั่งฝั่งเดียวกับพี่พีท แล้วฝั่งตรงข้ามเป็นเฮีย ก็เบี่ยงตัวหลบ ๆ ไปที่หลังพี่พีทแล้วทำสัญลักษณ์ปาดคอเป็นเชิงบอกว่าตายแน่ ๆ และชี้ไปที่แขนเวนิสที่มีรอยแดง เฮียเมื่อเห็นว่าผมจับโป๊ะได้ ก็กัดฟันกรอด รีบส่ายหน้าส่งสัญญาณบอกให้ผมหยุดสลับกับสายตาเว้าวอนมึงตายแน่เฮีย มึงทำลูกรักเขาเป็นรอย มึงตายแน่ ๆ ถ้าให้ผมเดานะ เฮียต้องปล่อยเวนิสมันคลานหนีแล้วหายไปตกหรือกระแทกอะไรมาสักอย่างแน่ ๆ
“ใจสู้หรือเปล่าาาา” ผมร้องเพลงล้อเลียนเฮียแบบไม่มีเสียง “ไหวไหมบอกมา!!!!”
“มาเก๊าทำไรอ่ะ กินสิ” พี่พีทหันมามองผม ผมชะงักการกระทำทุกอย่างและทำตัวปกติทันที
“กินครับกิน”
“เออ อร่อยว่ะ!!” เฮียที่ชูนิ้วกลางให้ผมก็พยายามทำตัวปกติไปด้วย
“เชี่ย!!! เวกัส! มึง!!! มึง!!!!!!” ผมและเฮียต่างเลิ่กลั่ก เมื่อพี่พีทตะโกนขึ้นมาอย่างเดือดดาล ฉิบหายแล้วเฮียโดนจับได้เหรอ ? เมื่อกี้ที่ผมล้อเลียนมัน แค่ทำเล่น ๆ แหย่ ๆ มันเฉย ๆ นะ! เชี่ยแล้ว ๆ
“อะไรพีท อะไรรร” เฮียตกใจจนถลึงตาโตออกมา
“มึงแดกหมูกูที่อยู่ตรงนี้เหรอ!!! ห้ะ!!!” พี่พีทเอาตะเกียบชี้หน้าเฮียด้วยความโกรธ
“เชี่ย! กูขอโทษ เดี๋ยวกูปิ้งให้ใหม่” เฮียรีบคีบหมูมาปิ้งให้พี่พีท ที่กำลังอ้าปากช็อกด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“มึง เวกัส! มึงทำแบบนี้กับกูได้ไง!! มึงก็รู้อ่ะ! อะไรก็ได้บนโลกนี้ มึงจะทำอะไรกูก็ได้ แต่มึงห้ามแย่งของที่กูอยากกิน!!! ไอ้สารเลว! ระยำมาก!” ผมแทบกลั้นขำไม่อยู่ พี่พีทเป็นคนที่ซีเรียสกับเรื่องกินมากครับ ผมอยู่กับเขามาแรมปี เรื่องของกินนี่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่สุดในชีวิตเขาเลย!
“เดี๋ยวปิ้งใหม่ ชิ้นใหญ่ ๆ เลยนะ โอ๋ ๆ” เฮียพยายามตั้งใจปิ้งอย่างหนัก ส่วนพี่พีทก็อาลัยอาวรณ์หมูสุดชีวิต บรรยากาศที่มาคุเมื่อครู่ก็หายวับไปกลับตา เพราะแทนที่ด้วยความน่ารัก และความเด๋อด๋าของพี่พีทแทน พี่พีทก็คือพี่พีท
อยู่วันยันค่ำแหละนะ ฮ่า ๆ
“กูจะหอบลูกหนีมึงแน่! คอยดู มาเก๊าไปกับพี่ไหม ?” พี่พีทหันมาถามผมด้วยแววตาสิ้นหวัง
“ฮ่า ๆ ไปครับไป พี่พีทไปไหนผมไปด้วย” ผมรีบเกาะแขนพี่พีทอย่างอ้อน ๆ จนเฮียตาขวางใส่ผม
“ได้แล้วค้าบบบ อ่ะ เป่าให้ด้วย” เฮียรีบเอาใจพี่พีท จนพี่พีทสงบลงได้เมื่อได้หมูชิ้นใหม่
“ไอ้ห่า ตับอันนี้มึงห้ามแดกนะ ของกู!” พี่พีทวางแลนมาร์คไว้อีกที่นึง
“นี่! มาเก๊า เดี๋ยวพี่ทำอะไรให้กิน” ผมยิ้มรับและมองดูพี่พีทที่ดึงซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตราไวไวรสออริจินัลออกมาจากตะกร้าผัก แล้วหักมันเป็นหลาย ๆ ท่อน วางไปทั่วกระทะจนผมกับเฮียมองด้วยความฉงนและก็ไม่วายเฮียก็รีบบ่นออกมา
“ของไม่มีประโยชน์อีกแล้ว กูเคยบอกมึงกี่รอบว่าอย่าแดก ๆ เพราะมันจะตายไว มึงนี่นะ!! ของดีดีมีไม่ชอบ ทำไมไอ้มาม่าไวไว นี่ชอบนักวะ” ผมหัวเราะออกมาด้วยความน่าเอ็นดูของทั้งสองคน เฮียเคยสั่งให้ผมจับตาดูพี่พีทห้ามกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่พักนึงเลยนะครับ ไม่รู้ว่าเฮียมันไปฝังใจอะไรกับเรื่องนี้นักหนา เห็นพี่พีทกินทีไรบ่นทุกที!
“เงียบ ๆ น่า นาน ๆ กินที” แล้วพี่พีทก็เทผงปรุงรสโรยไปเต็มข้างเตาพร้อมตอกไข่ใส่ด้วยความบรรจง
“นาน ๆ กินทีบ้านมึงสิ วันก่อนตอนดึก ๆ มึงยังสั่งกูลงไปต้มให้แดกอยู่เลย” เห็นมะ! ถึงจะบ่นแค่ไหนสุดท้ายก็ไม่วายทำให้พี่พีทกินอยู่ดี เฮียกูนี่ใจกากแต่ปากเก่งฉิบหาย
“ก็วันนั้นเวนิสไม่ยอมหลับสักที แล้วกูก็หิวด้วย แค่นี้ทำให้ไม่ได้เลยรึไงวะ!” ระหว่างทะเลาะกันน้ำในหม้อก็เดือดขึ้นเรื่อย ๆ
“แล้วไม่ต้องเอามาไว้ฝั่งกูเลยนะ ไวไว มึงเนี่ย!” เฮียพยายามคีบออก
“ลองแดกดู! เชื่อกู!!!” แล้วพี่พีทก็แย่งถ้วยเฮียไปคีบเอาเส้นไวไวใส่ไว้ในถ้วย โดยไม่ลืมที่จะแผ่ส่วนบุญนั้นมาถึงผมด้วย “ลองกินดูทั้งพี่ทั้งน้องเลย” แล้วพี่พีทก็คะยั้นคะยอ ผมพยักหน้ารับโดยไม่ขัดขืน คีบเส้นและเป่าก่อนเอาเข้าปาก กลิ่นมันหอมมากจริง ๆ ครับ
“อร่อยอ่ะ!!” ผมตาลุกวาวที่มันโคตรอร่อย
“ใช่ป่ะ!” พี่พีทแววตาเป็นประกายทันทีประหนึ่งมีพรรคพวกแล้ว
“เข้มข้นมาก!” ผมว่าแล้วซดน้ำตามไปอีก
“ไม่ให้เข้มข้นได้ไง ไอ้พีทใส่ผงปรุงรสไปสองซอง” เฮียว่าตาขวางแต่ก็คีบเส้นใส่ปากไม่หยุด
“แหมมม...แต่ก็แดกเต็มปากเลยนะ” พี่พีทเลยถากถางจนเฮียแทบสำลักไปซะหนึ่งดอก
“กูหิว!” เฮียว่าออกมา
“อร่อยมึงก็พูดว่าอร่อยสิวะ”
“ก็ผงชูรสทั้งนั้น ไม่ให้อร่อยได้ไง”
“ก็แหงสิ...อาหารที่ไหนที่ไม่ใส่ผงชูรสกูไม่นับว่าเป็นอาหารที่ดีนะเมิงง ยายกูทำแกงใต้ทีใส่ไปเกือบหมดถุงได้มั้ง” พี่พีทว่าออกมาอย่างภาคภูมิใจทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องจะโอ้อวดเลย เพี้ยนทั้งหมดทั้งเฮียกูและพี่สะใภ้กู!
“กูถึงว่ากลับจากเกาะแล้วผมกูร่วงบ่อย นี่ใกล้จะหมดหัวยังวะ” เฮียจับ ๆ ผมตัวเองดูแล้วไม่วายหันไปแหย่พี่พีท “อ๋ออ...เพราะมึงแดกผงชูรสมาตั้งแต่เด็ก ๆ นี่เอง ผมมึงถึงได้บางแบบนั้นน่ะ ดูด้านข้างสิไถเข้าไปเกือบครึ่งหัวแล้ว” เฮียว่าพลางยิ้มเยาะเย้ยจนทั้งโต๊ะขำออกมา พี่พีทโดนเฮียล้อเรื่องผมบางอยู่ประจำ ผมพี่พีทบางจริง ๆ นะครับ แต่ก็ยังหล่ออยู่ดี
“ไอ้เวกัส! สารเลว!!!” แล้วดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นปมด้อยในใจพี่พีทเพราะเขารีบจับผมตัวเองไม่หยุด
“น้องครับ อย่าเป่าพัดลมมาทางโต๊ะพี่เยอะนะครับ แฟนพี่เขากระหม่อมบาง เดี๋ยวผมปลิวไปหมด ฮ่า ๆ” เฮียทำท่าหันไปคุยกับเด็กเสิร์ฟแบบแกล้ง ๆ ด้วยความทะเล้น แล้วก็เกิดการจราจลขึ้นบนโต๊ะอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อพี่พีทแทบจะยกเตาหมูกระทะคว่ำใส่หัวเฮีย
“มึงพากูไปปลูกผมเลยนะ เหยดแม่นี่!” พี่พีทพูดอย่างแค้นเคือง ส่วนผมกับนพหัวเราะจนเส้นไวไวแทบจะติดคอ
“มาเก๊าก็อีกคน! ไม่อยู่ทีมพี่แล้วใช่ไหม ไปเลยนะ ไปอยู่กับไอ้เวรกัสเลย” พี่พีทเน้นคำว่าเวรจนผมต้องรีบกลั้นหัวเราะ
“ทีมพี่พีทครับทีมพี่พีท~” แล้วผมก็เอนหัวไปซบกับไหล่พี่พีทจนเฮียทำหน้าเหม็นเบื่อ อะไรวะเฮียอย่าหวังว่ากูจะอยู่ทีมมึง ทีมมึงอยู่ไปก็แพ้ ทีมพี่พีทต่อให้ตอนแรกเหมือนจะแพ้สุดท้ายก็ชนะมึงได้ทุกครั้งแหละวะ ฮ่า ๆ
“ดีมากน้องรัก เด็กฉลาด กินผักเยอะ ๆ” แล้วพี่พีทก็คีบผักใส่ถ้วยให้ผมกินยกใหญ่
“พี่พีทชอบมาที่นี่เหรอครับ” ผมกินไปถามพี่พีทไป พลางมองรอบ ๆ ที่ผู้คนมักจะให้ความสนใจโต๊ะผมไม่รู้ว่าเพราะ เห็นว่าหล่อ หรือว่าแปลกกันแน่ ก็สามีภรรยาเขาไม่ยอมสงบศึกแล้วเสียงดังไม่เกรงใจใครด้วยนี่ครับ
“อืมมม...ชอบนะ แต่ไม่ได้มาบ่อยหรอก เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านตระกูลหลักเวลาได้วันว่างพี่ก็มาเดินที่นี่แหละ ของกินเยอะดี”
“แสดงว่าร้านหมูทะที่นี่ก็ร้านโปรดเลยสิครับ”
“ใช่ เวลามาที่นี่ ก็จะมากินร้านนี้แหละ เห้ย ๆ อย่าเอาตะเกียบเข้ามาในแอเรียกูดิ๊” พี่พีทดันตะเกียบของเฮียออกไปให้พ้นจากตับอันเป็นที่รักของเขา
“กูแค่จะกลับให้ไง...แล้วเมื่อก่อนมากับใคร” เป็นเฮียที่ถามบ้าง
“มาคนเดียวดิ...แต่กว่าจะหาวันว่างได้นะ กูแทบจะทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาคุณหนูไว้อ่ะ บางทีนะเว้ย! กูกำลังปิ้งหมูแดกอยู่ดีดีแม่ง! โทรตามกูกลับบ้านเดี๋ยวนั้นเลย หมูยังคาปากกูอยู่เลย แถมไม่ไปก็ไม่ได้อาละวาดบ้านแตกอีก” พี่พีทนินทาไอ้พี่ใหญ่ นึกแล้วสะใจชะมัด คนห่าอะไรเอาแต่ใจฉิบหาย พี่ท็อปก็ทนไปได้ไงไม่รู้
“อ๋อ! ที่กูแดกหมูมึง มึงเลยฝังใจสินะ”
“เออ! เพราะกูไม่เคยแดกอิ่มไงล่ะ ปลาหมึกกรอบกูนะ กูมองอยู่!”
“เออครับ!!! แดกให้เต็มที่เลยครับคุณเมียยยย มื้อนี้กูเลี้ยงเอง”
“โอะ! แน่นอนสิ!!! มึงก็ต้องเลี้ยงกูไปตลอดชีวิตอยู่แล้วปะ” พี่พีทว่าอย่างไม่ใส่ใจ
“แหน่ะ! ประโยคบอกรักกูปะเนี่ย” แล้วทั้งสองก็จีบกันตามประสาข้าวใหม่ปลามัน ซึ่งมันมาเป็นปีละครับ ยังไม่หายมันสักที ไม่เห็นมีวันไหนที่จะหยุดจีบกันเลย แต่ผมมีความสุขมากเลยนะ
“มั่นมาก! แขวนหลวงปู่มั่นเหรอ ? กูยังเคืองเรื่องหมูอยู่นะ ปิ้งไวไว”
“ครับ ๆ”
แล้วบรรยากาศบนโต๊ะก็ครื้นเครงอีกครั้งเมื่อสองคู่รักกินไปด่ากันไปจนผมกินไปก็สำลักไป เฮียก็ขยันหาเรื่องให้พี่พีทด่า พี่พีทก็จริงจังกับการกินจนผมไม่อยากจะเชื่อว่าร่างกายที่มีมัดกล้ามแลดูสุขภาพดีแบบนั้น เอาเวลาไหนไปออกกำลังกาย
“ต่อด้วยของหวาน เครปเย็นร้านนี้อร่อยมาก” พี่พีทพาเราทั้งหมดไปต่อคิวกินเครปเย็น ซึ่งเฮียก็ตามใจยกใหญ่ ผมก็มองบรรยากาศโดยรอบแม้ว่าคนจะพลุกพล่านไปหน่อย แม้ผู้ชายหน้าตาดีอย่างพวกผมจะตกเป็นเป้าสายตาบ่อย ๆ จนทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นครั้งคราวแต่ก็ช่างแม่งมัน ไม่รู้ว่ามองเพราะ ผม เฮีย พี่พีทหล่อ หรือพี่พีท อุ้มเวนิส แล้วเฮียก็ดูเอาอกเอาใจไปด้วยกันแน่
“คุณมาเก๊าไปไหนครับ” พอผมกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก็เห็นร้านกล้องวินเทจมือสองเลยละจากครอบครัวสุขสันต์ ที่ทั้งโลกเหมือนมีแค่เวกัสพีทอยู่ด้วยกันสองคน แม้แต่เวนิสที่หลับคาไหล่พี่พีทยังดูไม่มีความหมายเท่าไหร่เลย เพราะเขาทั้งสองก็เอาแต่ป้อนของในมือกันไปกันมาแบบไม่ยั้ง แล้วผมเองก็ขี้เกียจจะเลี่ยนมากไปกว่านี้ เพราะเดี๋ยวพี่พีทต้องเอาเครปกับวิปปิงพูน ๆ มาป้อนเข้าปากผมแน่ ๆ เลย งั้นระหว่างนี้เดินไปร้านกล้องสักหน่อยดีกว่า
“เท่ว่ะนพ” นพเดินตามผมมาด้วย ผมชี้กล้องโพลารอยด์สไตล์วินเทจสีน้ำตาล โบราณ ๆ ให้นพดู
“ยังใช้ได้หรือเปล่าครับเนี่ย” นพว่าออกมาเสียงเบา
“น่าจะได้นะ...พี่ครับกล้องตัวนี้ใช้ยังไง” ด้วยรูปทรงที่ดูไม่คุ้นตา ผมเลยเรียกพี่คนขายให้มาสาธิตวิธีการใช้
“ใส่ฟิล์มทั่วไปก็ใช้ได้แล้วน้อง ระบบมันไม่เก่ามาก ดีไซน์แค่ดูวินเทจเฉย ๆ” พี่คนขายเปิดช่องใส่ฟิล์มด้านหลังให้ผมดู
“โคตรเท่! เปลี่ยนถ่านใช่ป่ะ เท่าไหร่อ่าพี่” ผมถามด้วยสายตาวาว รู้สึกถูกชะตาแล้วมันตะโกนเรียกชื่อผมยังไงก็ไม่รู้
“หมื่นสองพันห้า ขอบมันทำมาจากหนังแท้ ดีเทลก็เก็บละเอียด หายากนะน้อง”
“จะซื้อกล้องเหรอ ? ไอ้พีทเพิ่งสั่งออนไลน์มาอีกสองตัว รูปเต็มบ้านไปหมด มึงยังไม่พอใจกันอีกเหรอ” เฮียเดินตามมาข้างหลังแล้วบ่นอุบอิบ
“มาเก๊าอ้ามมม อ้ามมม” แล้วพี่พีทก็เอาเครปเย็นและวิปปิงครีมตักเข้าปากผมเต็ม ๆ คำ ตอนนี้เวนิสถูกเปลี่ยนมือไปให้เฮียเป็นคนอุ้มแล้ว ปกติไม่ยอมให้เฮียใกล้นะครับ แต่เพราะหลับเลยไม่รู้เรื่องอะไร
“ก็ที่บ้านมีแต่กล้องดิจิตอล มิเรอร์เลส ผมอ่าชอบภาพโพลารอยด์มากกว่า” ผมว่าไปตามความจริง
“ทำไมล่ะ” พี่พีทถาม แล้วจ้วงเครปตักเข้าปากตัวเองคำโต
“เวลากดถ่ายไปแล้ว มันได้ลุ้นรูปด้วยแถมมันลบไม่ได้ แต่งไม่ได้ มันบันทึกเราในตอนนั้นจริง ๆ มันเหมือนมีความรู้สึกอ่ะ ไม่ต้องเฟกอะไรเลย แล้วก็คลาสสิกสุด ๆ ด้วย” ผมพูดอธิบายความรู้สึกด้วยความหลงใหล ผมเด็กสายศิลป์นี่ครับชอบอะไรที่มันสุนทรีย์ ทั้งภาพถ่าย บทกวี วรรณกรรม ภาพวาด ผมรู้สึกคลั่งไคล้ไปหมด
“คณะมึงเรียนกล้องด้วยเหรอ”
“มันคือความชอบน่ะ! มึงเข้าใจมะ...โง่จริง” แล้วพี่พีทก็ด่าเฮียแทนผม
“เท่าไหร่อ่ะ”
“หมื่นสองพันห้า” ผมตอบเฮีย
“หื้มมม ? ในออนไลน์ไอ้พีทบอก เก้าร้อย” เฮียกระซิบผมเบา ๆ
“มันไม่เหมือนกันนี่เฮีย ขอบมันทำมาจากหนัง เนี่ย ๆ เห็นไหม” ผมพยายามพรีเซนต์ให้เฮียดู “เขาบอกว่าตัวนี้หายากสุด ๆ” ถึงแม้ว่าครอบครัวเราจะรวยแค่ไหน หรือจะรวยล้นฟ้ามาจากอดีต แต่ถ้าวันไหนเฮียไม่ได้เปิดทางให้ว่าชอปได้เต็มที่ ก็จะพูดยากหน่อย เพราะเฮียแม่ง! ก็เริ่มขี้งกขึ้นมาแล้วตั้งแต่หาเงินเลี้ยงครอบครัว ปกติพาผมไปชอปแบรนด์เนมแทบทุกวันยังทำได้เลย เดี๋ยวนี้ได้แค่เดือนละครั้งเอง เซ็งงง...
“ซื้อให้น้องเถอะ” พี่พีทช่วยพูดอีกแรง
“วันนี้ไม่ใช่วันชอปปิงของเดือนสักหน่อย เดี๋ยววันชอปปิงกูก็หมดเป็นแสนอีก” เฮียบ่นออกมาแล้วมองดูกล้องอย่างไม่เข้าใจนัก ผมเลยทำหน้าจ๋อยลงทันที
“มึงนี่นะ”
“อ่ะ ๆ หักค่าขนมมึงครึ่งนึง โอเคป่ะ” ข้อเสนอนั่นทำให้ผมตาลุกวาว
“จะไปหักน้องทำไม แค่กล้องเอง”
“แค่กล้องอะไรพีท มึงบอกกูเองว่าให้ประหยัดอ่ะ แล้วเราตกลงกันไว้แล้วด้วย อีกอย่างนะมึงเลี้ยงทั้งลูกทั้งน้องตามใจแบบนี้ เสียคนพอดี ไอ้แทนคุณสองแน่ ๆ” เฮียดูโคตรโตต่างจากเมื่อก่อนลิบลับมาก กลายเป็นคนมีเหตุผลแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ
“เห้ยพี่ ขายเทปด้วยเหรอ” ผมเหลือบไปเห็นเทปที่ตั้งเรียง ๆ กันอยู่โคตรคลาสสิกอ่ะ “มีโรมิโอ จูเลียตไหม” ผมรีบถามด้วยความตื่นเต้น
“มี ๆ”
“ผมทำรายงานวิเคราะห์เรื่องโรมิโอ จูเลียตอยู่น่ะ อิอิ โชคดีจัง”
“เท่าไหร่อ่ะ”
“ปีเก่าหายาก 800” ผมตาเป็นประกายเมื่อฟังราคา อันนี้เฮียต้องซื้อให้แน่ ๆ
“เอา ๆ ๆ เอาอันนึง”
“เดี๋ยวนะ! มึงซื้อเทปไป มึงมีเครื่องเล่นเหรอ” เฮียรีบท้วงทันที
“เครื่องเล่นก็มีขายนะ ต่อเข้ากับจอได้เลย รุ่นนี้หายากสุด ๆ 8,300 บาท” แล้วคนขายแม่งก็ขายไม่ยั้งจริง ๆ
“ร้านพี่นี่มีแต่ของหายากเนอะ” พี่พีทพูดออกมาพลางยิ้มเจื่อน ๆ
“เลือกเอา ระหว่างกล้องกับเครื่องเล่นกับเทป” เฮียที่เหมือนรู้ว่าผมอยากได้ทั้งหมดนี่ก็ยื่นข้อเสนอมาให้ผมเพียงแค่อย่างเดียว ผมนิ่วหน้าลงทันทีด้วยความขัดใจ
กล้องดี ? เทปดี ? กล้องดี ? หรือเทป ? โอ้ยยยยยยยยยยยยย!!!!! มันเลือกไม่ได้เอาไงดีวะ!!!
ฮื่ออออออออ!!!!! มันตะโกนเรียกชื่อเก๊าหมดเลย!!! ฮื่อออออออออออ!!! เอาไงดีมาเก๊า!!!
“คุณมาเก๊าเอากล้องเถอะครับ ในเน็ตน่าจะมีเยอะเลยโรมิโอจูเลียต” นพเสนอความคิดเห็น
“แต่มันไม่เหมือนกัน...มันไม่คลาสสิก มันต้องดูแบบเทปมันถึงจะได้อารมณ์ ฮื่อออ เอาไงดี”
“มึงเลือกเร็ว ๆ กูเมื่อย!” ในหัวผมตีกันมั่วไปหมด แล้วสามสี่คนข้างหลังก็กดดันด้วยผมมองทุกอย่างสลับกันไปมาด้วยความลำบากใจขั้นสุด โอ้ยยยยย!!!!!!!! ทำไมเฮียต้องมาขี้งกตอนนี้ด้วยวะ!!!
…
..
.
“หักค่าขนมมึงครึ่งนึงนะ” ผมกัดปากตัวเองด้วยความสับสนที่อยู่ในสมองและมองของที่อยู่ในมือพลางนึกเสียดายของที่ไม่ได้ซื้อมาด้วย สรุปผมเลือกกล้องครับ แล้วปล่อยเทปและเครื่องเล่นให้เดียวดายอยู่ที่ร้านด้วยความน่าสงสาร
“มาแล้ว...” พี่พีทไปซื้อขนมมาเพิ่ม ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ที่ม้านั่งบริเวณริมแม่น้ำที่ติดกับตลาดนัด พอพี่พีทเอาขนมอีกกองนึงมาวางเฮียก็รีบส่งเวนิสให้พี่พีทอุ้มทันที
“เดี๋ยวกูไปเยี่ยว แล้วไปตามนพด้วย จะได้กลับบ้านกัน” เฮียว่างั้นก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำ
“กินไหม ขนมเบื้องร้านนี้อร่อยนะ” พี่พีทมือนึงตะกองกอดเวนิสเอาไว้อีกมือก็แกะขนมเบื้องเข้าปากตัวเองด้วยความอร่อย ผมละเหลือเชื่อในความสามารถด้านการกินของพี่พีทมาก
“ไม่ไหวแล้วพี่พีท อิ่มมาก” ผมยังคงจ้องกล้องในมืออย่างไม่วางตา
“ทำไมเลือกทำรายงานเรื่อง โรมิโอ จูเลียตล่ะ” พี่พีทถามขึ้น
“มัน…เป็นบทประพันธ์ที่มีเสน่ห์ คลาสสิก ความขัดแย้งสองตระกูล มันมีหลายอารมณ์ ทั้งคำโกหก ความขัดแย้ง การต่อสู้ แต่ทุกอย่างกับเริ่มเรื่องด้วยความเรียบง่ายก็คือ รักแรกพบอ่ะพี่พีท...”
“แต่มันจบลงด้วยโศกนาฏกรรมนะ”
“นั่นแหละที่ผมเลือก...เพราะแม้แต่ในโลกแห่งจินตนาการ ในโลกแห่งเทพนิยายก็ยังไม่ยุติธรรมกับเราเลย” ผมพูดแล้วมองพี่พีทพลางถอนหายใจเบา ๆ
“อื้ม...เข้าใจแล้วแหละ ทำให้ดีละกัน แล้วอย่าบอกเฮียล่ะ” พี่พีทยื่นเทปพร้อมเครื่องเล่นมาให้ผม พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนหน้าเราสองคน
“พี่พีท!!!!!!!!!!” ผมตะโกนเรียกชื่อพี่พีทด้วยความไม่อยากจะเชื่อ จนเวนิสสะดุ้งตกใจด้วยความผวา
“ชู่วว! อย่าดังสิ เดี๋ยวเฮียจับได้” พี่พีทว่าออกมายิ้ม ๆ แล้วกล่อมเวนิสให้นอนต่อ
“ขอบคุณนะครับ” ผมพุ่งไปกอดพี่พีท แล้วกล่าวขอบคุณไม่หยุดปาก
“พี่ไม่มีโอกาสได้เรียนมหาลัย พอเห็นมาเก๊าตั้งใจกับมันมาก ก็ทำแทนพี่ด้วยแล้วกัน”
“งั้นเดี๋ยวเรามาดูด้วยกันนะ”
“ได้…ช่วงนี้ไอ้เวกัสกลับบ้านดึก เดี๋ยวเรามานั่งดูด้วยกันจนโต้รุ่งไปเลย เอ้อ! รีบเอาไปเก็บแอบ ๆ ไว้ที่รถเร็ว เดี๋ยวไอ้บ้านั่นมาเห็นจะโวยวาย” พี่พีทรีบไล่ผมให้ลุกออกจากโต๊ะ ผมยิ้มจนตาหยีเดินตรงปรี่ไปที่ลานจอดรถด้วยความเบิกบานสำราญใจ
ถูกใจมาเก๊าเป็นอย่างมาก! พี่พีทผู้แสนดี
ฮื่ออออ...ในที่สุดผมก็ได้ในสิ่งที่อยากได้ เหมือนความโชคดีของผมทั้งหมดมากองอยู่ตรงหน้า แต่ไม่ใช่เพราะสิ่งของพวกนี้นะ แต่เป็นเฮียกับพี่พีทต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกว่าดีจริง ๆ ที่ตัวผมได้มีชีวิตอยู่ต่อแล้วเป็นน้องชายของพวกเขาทั้งสองคน...
เหตุผลจริง ๆ ที่ผมดึงดันที่จะทำรายงานเรื่อง โรมิโอ แอนด์ จูเลียต ก็เพราะ เวกัส พีท สินะ ความเรียบง่ายที่เรียกว่าความรัก ผมเชื่อว่าใครคนใดคนหนึ่งต้องเป็นรักแรกพบของกันและกัน และเขาก็ได้ครองคู่กันระหว่างความขัดแย้งของสองตระกูลไงละ แม้เรื่องราวจะไม่ได้สวยหรูออกไปทางหยิกหลัง หยุมหัว และไม่ได้คลาสสิคในแบบที่ควรจะเป็น แต่ที่แน่ ๆ พื้นฐานของพวกเขาก็ดำเนินเรื่องไปด้วยความรักและทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะอยู่ด้วยกันสินะ ...
ผมต้องทำรายงานเรื่องนี้ออกมาดีแน่ ๆ เชื่อสิ : )
บทล่าสุด
#16 บทที่ 16 Special Mafia Family x SongKran
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025#15 บทที่ 15 EP. 15 The Last Letter
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025#14 บทที่ 14 EP. 14 Flim
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025#13 บทที่ 13 EP. 13 Gradient
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025#12 บทที่ 12 EP.12 Bluetooth
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025#11 บทที่ 11 EP. 11 Pixel
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025#10 บทที่ 10 EP. 10 Format
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025#9 บทที่ 9 EP. 9 Router
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025#8 บทที่ 8 EP. 8 Sync
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025#7 บทที่ 7 EP. 7 Air Drop
อัปเดตล่าสุด: 11/27/2025
คุณอาจชอบ 😍
รักโคตรร้าย ผู้ชายพันธุ์ดิบ
ปรเมศ จิรกุล หมอหนุ่มเนื้อหอม รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เขาขึ้นชื่อเรื่องความฮอตฉ่า เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยน เทคแคร์ดีเยี่ยม และให้เกียรติผู้หญิงทุกคน ยกเว้นกับธารธารา อัศวนนท์
ปรเมศตั้งแง่รังเกียจธารธาราตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า เพียงเพราะเธอแต่งตัวเหมือนผู้ชาย เขาเลยประณามว่าเธอเป็นพวกผิดเพศน่ารังเกียจ แต่ใครเลยจะรู้ว่าหมอสาวมาดทอมหัวใจหญิงนั้นจะเฝ้ารักและแอบมองเขาอยู่ห่างๆ เพราะเจียมตัวดีว่าอีกฝ่ายแสนจะรังเกียจ และดูเหมือนคำกล่าวที่ว่าเกลียดอะไรมักจะได้อย่างนั้นจะใช้ไม่ได้ผลสำหรับคนทั้งคู่
กระทั่งดวลเหล้ากันจนเมาแบบขาดสติสุดกู่ เขาจึงเผลอปล้ำแม่สาวทอมที่เขาประกาศว่าเกลียดเข้าไส้ หนำซ้ำยังโยนความผิดว่า ‘ความสัมพันธ์บัดซบ’ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะยัยทอมตัวแสบยั่วเขา เมากับเมาเอากันแล้วไง น้ำแตกก็แยกทาง ทว่าพออีกฝ่ายหลบหน้าเขากลับร้อนรนกระวนกระวาย ครั้นทนไม่ไหวหมอหนุ่มจอมยโสก็ต้องคอยราวี และตามหึงหวงเมื่อมีใครคิดจะจีบ ‘เมียทอม’ ของเขา แต่กว่าจะรู้ตัวว่าขาดเธอไม่ได้ เธอก็หายไปจากชีวิตเขาเสียแล้ว
โซ่สวาทร้อนรัก
“มันเรื่องของฉัน ตัวฉันของฉันนมก็นมของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่ง”
“ก็สิทธ์ของความเป็นผัวคนแรกของคุณไง นมคุณน่ะเป็นของผม ทั้งตัวคุณก็เป็นของผม...เข้าใจไหม? ”
คาเรน เซนโดริก อายุ 32 ปี
หนุ่มลูกครึ่งอเมริกา-อาหรับ ที่มีบุคลิกสุขุมเยือกเย็น เจ้าเล่ห์แสนกล และยังเป็นCEO บริษัทไอทีอินเตอร์เนชั่นกรุ๊ปชื่อดังในอเมริกาที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก ในแต่ละวันจะมีสาวๆมาคอยปนเปรอสวาทให้เขาในทุกค่ำคืน และในที่สุดเขาก็จัดการเหยื่อสาวผิดคน เพราะคิดว่าเธอคือคนที่ลูกน้องหามา จึงใช้เงินปิดปากเธอให้จบเรื่อง แต่ใครจะคิดว่าเขาต้องมาเจอกับเธออีกครั้ง
ทับทิม รินลดา ชลวัตร อายุ 25 ปี
สาวแว่นช่างเพ้อ ที่มีความสามารถรอบด้าน พ่วงด้วยวาจาอันจัดจ้านไม่ยอมใคร จนถูกคัดเลือกให้ไปดูงานที่ดูไบ ต้องมาเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสาวสวยสุดมั่นสำหรับงานครั้งนี้ แต่พอไปถึงเธอกลับถูกซาตาน พรากพรหมจรรย์ไปตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง และซาตานคนนั้นก็ดันเป็นเจ้าของบริษัทที่เธอทำงานอยู่ แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อต้องเจอกับเขาอีกครั้ง
ลิขิตรักนายสุดหื่น
เรื่องย่อ....
“คุณอัสลาน… คุณออกไปห่างๆฉันหน่อยได้ไหม…ห้องครัวนี่มันก็กว้างมากเลยนะคุณ ทำไมคุณต้องมาใกล้ฉันขนาดนี้ด้วย…”
“ก็ผมอยากจะดูว่าคุณใส่ยาเสน่ห์อะไรลงไปในอาหารหรือเปล่า เพราะช่วงนี้ผมรู้สึกโหยหาคุณตลอดเลย…”
“ใครจะบ้ามาใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกินล่ะ แค่นี้ฉันก็แทบไม่ได้นอนแล้ว… ขืนใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกิน ฉันไม่นอนแกผ้าให้คุณเอาทั้งวันเลยเหรอ…”
“หึๆ…ก็คุณมันน่ามั่นเขี้ยวนิ จะจับจะตบตรงไหนก็แน่นไปหมดเลย…แถมกลิ่นตัวก็หอมไปยันหอยเลย…อืม…พูดไปแล้วขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยสิ วันนี้ทำงานมาโคตรเหนื่อยเลย…”
“อื้อ…คุณจะทำอะไรน่ะคุณฮัสลาน นี่มันในห้องครัวนะคุณ…เดี๋ยวพวกแม่บ้านเดินเข้ามาจะทำยังไงคะ…ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ จะมาดมอะไรตรงนี้”
“ก็ผมอยากดมตอนนี้ไงคุณ…เห็นหน้าคุณแล้วผมก็รู้สึกเสี้ยนจนทนไม่ไหวแล้วเนี่ย…ขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยเถอะ”
“อ้ะ….คุณอัสลาน….อื้อ….ทำไมคุณมันหื่นแบบนี้เนี่ย….เอามือของคุณออกไปนะ เดี๋ยวคนมาเห็น….อ้ะ…ซี๊ด…อ่าส์….”
ขย่มรักมาเฟีย
"ความทรงจำบ้าบออะไรของคุณ ฉันไม่อยากจะทบทวนอะไรทั้งนั้น ออกไปห่างๆฉันเลยนะ...อื้อ...ปล่อยฉันสิ ไอ้มาเฟียบ้า...จะมายุ่งกับฉันทำไมห้ะ!...."
"ไม่ยุ่งกับเมีย...แล้วจะให้ไปยุ่งกับหมาแมวที่ไหนล่ะหึ...ไม่ได้เจอตั้งนาน...คิดถึงดุ้นของผมไหม...อยากจะอม...อยากจะเลียเหมือนที่เคยทำหรือเปล่า...."
"ไม่....ถ้าคุณเสี้ยนมากนักก็ไปเอากับผู้หญิงของคุณสิ..ผู้หญิงพวกนั้นเขาเต็มใจทำให้คุณแบบถึงอกถึงใจ คุณจะมาบีบบังคับฉันให้เสียแรงทำไม"
"ก็ผู้หญิงพวกนั้นมันไม่ตื่นเต้นเหมือนกับคุณนิ....ผมชอบใช้แรง...โดยเฉพาะกับคุณ....ชอบเยแรงๆ....ตอกแบบจุกๆ และที่สำคัญผมชอบตอนที่คุณครางเหมือนคนกำลังจะตายตอนที่ผมกำลังเอาคุณ"
"ใครโดนคุณเอาก็ต้องครางเหมือนจะตายกันทั้งนั้นแหละ ใหญ่เกินบ้านเกินเมืองซะขนาดนั้น ไปผู้หญิงเอาพวกนั้นไป อย่ามายุ่งกับฉัน...อื้อ...ปล่อยฉันสิ"
"ทำไมชอบไล่ให้ผมไปเอาคนอื่นนักหึ....ไม่เข้าใจเหรอว่าผมจะเอาคุณ....ผมชอบหอยฟิตๆของคุณมากกว่า...ผมหลง...ผมคลั่งไคล้...และผมก็อยากจะได้มันอีก...หลายๆครั้ง....ซ้ำแล้วซ้ำเล่า....จนกว่าหอยน้อยๆของคุณมันจะรับไม่ไหว...อืม....ไม่ได้เอามานานแล้ว....คุณให้ใครมาซ้ำรอยผมหรือเปล่า...."
3P อาหมวยโดนอาเฮียใหญ่ทั้งสองจับทำเมีย
เมียขัดดอก
"คุณหมอคะฉันขอร้องล่ะคุณหมอช่วยแม่ฉันด้วยเถอะนะ" หญิงสาวขอร้องอ้อนวอนถึงขั้นยกมือขึ้นมากราบไหว้
"ทางเราช่วยได้เท่าที่ช่วยจริงๆ" ถ้าเขาทำแบบนั้น โรงพยาบาลของเขาอาจจะถูกฟ้องได้ ซึ่งมันไม่เป็นผลดีเลย และมันก็ไม่คุ้มกับการเสี่ยง
"ฉันขอร้องล่ะค่ะ จะให้กราบเท้าฉันก็ยอม"
"คุณอย่าทำแบบนี้เลย"เขารีบพยุงร่างของหญิงสาวที่กำลังจะคุกเข่าลงตรงหน้าให้กลับขึ้นมายืนใหม่อีกครั้ง
"คุณจะให้ฉันทำอะไรก็ได้ ฉันเคยเรียนหมอมาค่ะ ฉันคงพอช่วยงานคุณได้ไม่มากก็น้อย" เพราะเธอเคยเรียนมาด้านนี้ก็เลยรู้ว่าใครที่สามารถจะช่วยแม่ของเธอได้ และก็รู้ด้วยว่ามันเสี่ยงมากถ้าจะทำแบบนี้
"คุณก็เคยเรียนหมอมา คุณก็คงจะรู้ผมคงช่วยไม่ได้"
"ถ้าเปลี่ยนจากช่วยงานเป็นเอาร่างกายของฉันแลกเปลี่ยนได้ไหมคะ"
"คุณพูดอะไร"
"ถ้าคุณหมอยอมช่วยผ่าตัดให้แม่ฉันฉันจะยอมมอบร่างกายให้คุณค่ะ" เธอมีคนที่จะมาบริจาคอวัยวะแล้ว เหลือแค่การผ่าตัดเท่านั้น..
BAD FIANCE พันธะรักคู่หมั้นใจร้าย
เด็กดื้อคนโปรด (ของมาเฟีย) BAD
หนุ่มหล่อ ลูกชายมาเฟียตระกูลใหญ่ผู้เย็นชาไร้ความรู้สึก เขาถูกผู้หญิงหลายคนตราหน้าว่าไร้หัวใจ ถึงอย่างนั้นเพราะความหล่อก็ยังมีผู้หญิงอีกมายมายที่พร้อมจะขึ้นเตียงกับเขา
แต่มีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารังเกียจและไม่อยากเจอหน้าถึงแม้เธอจะพยายามเท่าไรก็ไม่มีวันมีค่าในสายตาของเขา
“อยากเป็นเมียฉันมากไม่ใช่หรือไง ฉันกำลังจะสนองให้เธอเป็นอยู่นี่ไง แต่ไม่ใช่ในฐานะเมียแต่ง อย่าคิดหวังสูงเกินไป!!”
มิลิน
เธอถูกคนที่ตัวเองแอบรักมาตั้งแต่เด็กรังเกียจเพียงเพราะเขาคิดว่าแม่เธอคือเมียน้อยของพ่อเขา ถึงแม้เขาจะไม่สนใจใยดีอะไรเธอเลย แต่เธอก็ยังรักเขาหมดหัวใจ
ทั้งที่คิดว่าหากยอมยกร่างกายให้เขาแล้วจะได้ความรักกลับคืนมา แต่สุดท้ายก็ได้เพียงความเกลียดชัง
อุ้มท้องหนี สามีคลั่ง!
ฉันเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ฉันสามารถให้กำเนิดลูกคนนี้และเลี้ยงดูเขาให้เติบโตขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว!
ฉันเป็นผู้หญิงที่ใจดำ หลังจากหย่ากันไป อดีตสามีก็มาสำนึกผิด คุกเข่าอ้อนวอนขอคืนดี แต่ฉันก็ปฏิเสธไปอย่างเลือดเย็น!
ฉันเป็นผู้หญิงที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ชู้รักของสามีฉัน...นังเมียน้อยนั่น ฉันจะทำให้นางต้องชดใช้อย่างสาสม...
(ขอแนะนำสุดยอดนิยายที่ทำเอาฉันติดงอมแงม อ่านรวดเดียวสามวันสามคืนจนวางไม่ลง สนุกเข้มข้นจนหยุดไม่ได้ ห้ามพลาดเด็ดขาด! ชื่อเรื่องคือ 《แต่งเข้าบ้านเศรษฐี อดีตสามีคลั่งรัก》 ไปที่ช่องค้นหาแล้วพิมพ์ชื่อเรื่องได้เลย)
คืนเดียว...ที่หัวใจถูกขโมยโดยซีอีโอ
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันรีบแต่งตัวและหนีออกมา แต่กลับต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อไปถึงบริษัทแล้วพบว่าผู้ชายที่ฉันนอนด้วยเมื่อคืนกลับเป็น CEO คนใหม่...
(ขอแนะนำนิยายสนุกๆ ที่ทำเอาฉันติดงอมแงม อ่านรวดเดียวสามวันสามคืนจนวางไม่ลงเลยค่ะ เนื้อเรื่องน่าติดตามสุดๆ ห้ามพลาดเด็ดขาด ชื่อเรื่องคือ 《โอกาสครั้งที่สอง: แต่งงานกับมหาเศรษฐี》 สามารถค้นหาชื่อเรื่องนี้ได้ในช่องค้นหาเลยค่ะ)
เพอร์เฟค บาสทาร์ด
"ไปตายซะ, ไอ้ลูกหมา!" ฉันตะโกนกลับ, พยายามดิ้นให้หลุด
"พูดมา!" เขาคำราม, ใช้มือข้างหนึ่งจับคางของฉัน
"นายคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงง่ายเหรอ?"
"งั้นก็ไม่ใช่สินะ?"
"ไปลงนรกซะ!"
"ดี, นั่นแหละที่ฉันอยากได้ยิน," เขาพูด, ยกเสื้อสีดำของฉันขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง, เผยให้เห็นหน้าอกของฉันและทำให้ร่างกายของฉันเต็มไปด้วยอะดรีนาลีน
"นายทำบ้าอะไรเนี่ย?" ฉันหอบหายใจขณะที่เขาจ้องมองหน้าอกของฉันด้วยรอยยิ้มพอใจ
เขาใช้นิ้วลูบไปที่รอยที่เขาทิ้งไว้ใต้หัวนมของฉัน
ไอ้สารเลวกำลังชื่นชมรอยที่เขาทำไว้บนตัวฉันเหรอ?
"เอาขามาพันรอบตัวฉัน," เขาสั่ง
เขาก้มลงพอที่จะเอาหน้าอกของฉันเข้าปาก, ดูดหัวนมอย่างแรง ฉันกัดริมฝีปากล่างเพื่อกลั้นเสียงครางขณะที่เขากัดลง, ทำให้ฉันแอ่นหน้าอกเข้าหาเขา
"ฉันจะปล่อยมือเธอ; อย่าคิดจะหยุดฉันเชียว"
ไอ้สารเลว, หยิ่งยโส, และน่าหลงใหลอย่างที่สุด, ชายประเภทที่เอลลี่สาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก แต่เมื่อพี่ชายของเพื่อนกลับมาที่เมือง, เธอก็พบว่าตัวเองใกล้จะยอมแพ้ต่อความปรารถนาที่รุนแรงที่สุดของเธอ
เธอน่ารำคาญ, ฉลาด, เซ็กซี่, บ้าสุดๆ, และเธอกำลังทำให้อีธาน มอร์แกนคลั่งไคล้เช่นกัน
สิ่งที่เริ่มต้นเป็นเกมง่ายๆ ตอนนี้กลับทรมานเขา เขาไม่สามารถเอาเธอออกจากหัวได้, แต่เขาจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาในหัวใจของเขาอีก
แม้ว่าทั้งคู่จะต่อสู้สุดกำลังกับแรงดึงดูดที่ร้อนแรงนี้, พวกเขาจะสามารถต้านทานได้หรือไม่?
เจ้าสาวตัวแทนของราชาอัลฟ่า
ฉันรู้สึกพ่ายแพ้เมื่อฉันนอนอยู่ใต้ร่างแข็งแกร่งของราชาอัลฟ่า เขากดตัวลงมาหนักหน่วง น้ำตาเปื้อนใบหน้าของฉันและเขามองไปรอบๆ ใบหน้าของฉันด้วยความสงสัย เขาหยุดนิ่งไปนาน หายใจหอบและตัวสั่น
เมื่อครู่เขาฉีกชุดแต่งงานที่สั่งตัดพิเศษของฉันออกจากร่างกายผอมบางของฉันและฉีกมันเป็นชิ้นๆ ฉันสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อเขากดฉันลงบนเตียงของเขา จูบทุกจุดบนร่างกายของฉันและกัดจนฉันเลือดออก
สายตาสีฟ้าเข้มของเขาดูดุร้ายและในขณะนั้นฉันกลัวชีวิตของฉันจริงๆ ฉันกลัวว่าคืนวันแต่งงานของฉันจะเป็นจุดจบของชีวิตฉันทั้งหมด
ความทรงจำของวันนั้นเข้ามาในใจฉันขณะที่ฉันคิดกับตัวเองว่า "ฉันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง?"
เพื่อช่วยน้องชายของเธอ ฮันนาห์ถูกบังคับให้แทนที่เอมี่ พี่สาวต่างแม่ของเธอในงานแต่งงานที่จัดขึ้น ต้องแต่งงานกับราชาอัลฟ่าผู้โหดร้าย ปีเตอร์ เธอไม่รู้เลยว่ามีอันตรายมากมายรอเธออยู่
อัลฟ่าปีเตอร์ ชายที่หยิ่งยโส เย็นชา และแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหมาป่า เขายอมรับการแต่งงานนี้เพราะเขาต้องการหาคู่แท้ของเขา ตามคำทำนาย มีเพียงคู่แท้ของเขาเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาจากความโกรธบ้าคลั่งได้ เขาไม่รู้เลยว่าในไม่ช้าเขาจะพบว่าตัวเองตกหลุมรักกับเด็กสาวโอเมก้าคนนี้
![[YAOI] Macau Story Memories With Me](https://oss.novelago.app/prod/jpg/cover/234192808d4145398439126258b91dc8.jpg?x-oss-process=image/format,webp/resize,m_fill,w_240,h_320)












