บทที่ 4 ปล้นจูบ (100%)
วาจาที่หลุดออกมาจากปากร้ายกาจทำให้อารดาแทบกรี๊ดออกมาดังๆ โดยเฉพาะคำว่า ‘ผู้หญิงหน้าบ้านๆ’ ถึงเธอจะไม่สวยอย่างที่เขาเหน็บแนมจริงๆ แต่วันนี้เธอก็ ‘พยายามสวย’ จนสุดความสามารถ และที่สำคัญเธอรับไม่ได้อย่างแรงกับถ้อยคำปรามาสอันแสนระคายหู ทว่ายังไม่ทันจะได้ตอบโต้อะไรเสียงทุ้มก็โพล่งขึ้นเสียก่อน
“เอ่อ…ว่าแต่ผมขอเบอร์คุณหน่อยสิ เผื่อวันไหนเกิดอารมณ์เปลี่ยวจนนึกอยากลอง ‘ของแปลก’ จะได้โทร.หา” ถึงแม้เดเรคจะไม่พิสมัยแม่สาวไซต์มินิเตี้ยหมาเลียตูด แถมยังควานหาความสวยแทบไม่เจอ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรตรงสเปกและกระแทกตาดึงดูดใจ แต่ผู้ชายกะล่อนอย่างเขาก็ยังไม่วายหว่านเสน่ห์เรี่ยราดใส่สาวเจ้า เพราะถือคติที่ว่าบริหารเสน่ห์วันละนิดจิตแจ่มใส ซึ่งคำพูดเหลือรับประทานที่พ่อคนโอหังพ่นออกมาจากปากหยักลึก ก็ทำให้ความอดทนของอารดาขาดสะบั้นลงในชั่วพริบตา
“ปากสุนัขเรียกพี่แบบนี้ อย่าอยู่เลย!” ขาดคำคนตัวเล็กก็ง้างฝ่ามือเรียวขึ้นกลางอากาศ หวังจะฟาดลงที่ซีกแก้มสากแรงๆ เพื่อดับอารมณ์ ทว่าอีกฝ่ายกลับคว้าข้อมือกลมกลึงเอาไว้ได้ทันเสียก่อน จากนั้นเขาก็จัดการรวบมือของเธอทั้งสองข้างด้วยมือใหญ่เพียงแค่ข้างเดียว
“จุๆๆ ชอบเล่นบท ‘ตบจูบ’ ก็ไม่บอก ป๋าจะได้จัดให้” เจ้าของร่างทรงพลังจงใจลอยหน้าเข้ามาเฉียดพวงแก้มสีระเรื่อ ทำเอาหญิงสาวแทบผงะ หัวใจดวงน้อยเต้นคร่อมจังหวะอย่างมิอาจห้ามได้
“อย่านะ ไอ้คนกักขฬะ ปล่อยฉันนะ ปล่อย!” อารดาสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะที่ปากส่งเสียงประท้วงดังลั่น
“แน่จริงก็เก่งให้ตลอดสิทูนหัว” ชายหนุ่มเอ่ยท้าด้วยท่าทางเป็นต่อพร้อมเลิกคิ้วสูง กลิ่นสาบสาวหอมกรุ่นซึ่งลอยมาเตะจมูกทุกคราที่เธอขยับเขยื้อนกายออกอาการพยศ ทำให้เดเรคชักจะเปลี่ยนใจอยากลิ้มลอง ‘ของแปลก’ ขึ้นมาครามครัน ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงหน้าบ้านๆ จะทำให้เรือนกายทรงพลังตื่นตัวได้มากถึงเพียงนี้
“คุณมันน่ารังเกียจ รังแกคนไม่มีทางสู้!” เสียงห้วนจัดด่าทอดังสนั่น พลางจ้องใบหน้าหล่อระเบิดระเบ้อราวกับจะจับเขาแยกชิ้นส่วน เพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังเดือดปุดๆ
“ก็คุณมันน่ารังแกนี่นาเบบี๋” แทนที่จะกราดเกรี้ยวเขากลับฉีกยิ้มกว้างยียวน แถมยังมีหน้ามาทำตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์จนเธออยากจะกรี๊ดออกมาให้ดังๆ
“ไอ้ผู้ชายบ้า ไอ้คนกวนประสาท ไอ้คนหล่อสติเฟื่อง!” คำก่นด่าในตอนท้ายที่ตีความหมายว่า ‘เพี้ยน’ ทำให้พ่อหนุ่มเพลย์บอยถึงกับฉุนกึก
“เป็นสาวเป็นนางหัดพูดจาให้มันไพเราะหน่อยสิทูนหัว ไม่ใช่คำก็ด่าสองคำก็ด่าแบบนี้…” เขายังไม่ทันกล่าวให้จบประโยคเสียงหวานก็ดังแทรกขึ้น
“คุณมันคน…”
“จุๆๆ ผมยังพูดไม่จบ อย่าเพิ่งสวนสิยาหยี นี่ไม่ใช่สิ่งที่กุลสตรีพึงกระทำรู้ไหม” ปลายนิ้วกระด้างทว่าร้อนผ่าวจรดลงบนกลีบปากสีชมพูระเรื่อที่เจ่อนิดๆ เพราะฤทธิ์จูบของเขา ทำเอาร่างบางถึงกับสะท้านน้อยๆ หากแต่สร้างความพึงพอใจให้อีกฝ่ายอย่างประหลาดล้ำ
“แค่โดน ‘นิ้ว’ ของผมคุณก็อึ้งจนพูดไม่ออกเลยเหรอสาวน้อย แล้วถ้าเป็น ‘ส่วนอื่น’ ล่ะ คุณไม่ตะลึงจนช็อกไปสามวันเจ็ดวันเลยหรืออย่างไร” ถ้อยคำที่เน้นไปในทางสองแง่สามง่าม ทำให้เจ้าของใบหน้าแดงก่ำนึกอยากจะซัดพ่อคนกวนประสาทให้คว่ำนัก
“เชิญคุณเอา ‘ส่วนอื่น’ ที่คุณแสนจะภาคภูมิใจ ไปนำเสนอกับคนอื่นเถอะย่ะ” หญิงสาวเชิดหน้าโต้ตอบเสียงสะบัด เต็มไปด้วยความโมโหสุดขีด
“ระวังนะ หวงเนื้อหวงตัวมากๆ อะไรๆ มันจะขึ้นสนิมเสียหมด เรือนร่างของผู้หญิงถูกสร้างมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้ชายรู้ไหม” ในขณะที่อารดากำลังแทบเต้นเป็นเจ้าเข้าอยู่นั้น เขากลับสำเริงสำราญกับการยียวนให้เธอสูญเสียการควบคุมตัวเอง นัยน์ตาสีเฮเซลส่อประกายรื่นรมย์จนน่าหมั่นไส้
“หื่นขึ้นสมอง!” เสียงหวานประณามดังลั่น พร้อมพยายามบิดข้อมือกลมกลึงทั้งคู่ให้หลุดพ้นจากพันธนาการแกร่งจนเป็นผลสำเร็จ
“ผู้ชายไม่หื่น ก็คงถูกจัดให้อยู่ในหมวดบุคคลไร้สมรรถภาพทางเพศ และคนอย่างผมก็ยังฟิตปั๋งชนิด ‘โด่ไม่รู้ล้ม’ ห่างไกลจากคำนั้นมากโขเลยจ้ะเบบี๋” คนโดนตีแสกหน้ายังคงยิ้มร่าอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ว่าเธอจะด่าทอและเหน็บแนมอะไรเขาก็สามารถตอบโต้ได้เสียหมด
อารดาเม้มปากจนเกือบเป็นเส้นตรง ขณะเดียวกันนั้นสมองน้อยๆ ก็พยายามคิดหาคำด่าทออันเจ็บแสบ ทว่าก่อนที่สงครามน้ำลายจะยืดเยื้อและชวนปวดหัวมากไปกว่านั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดตาทัพเสียก่อน
“นายครับ”
แล้ววิกเตอร์กับบอดี้การ์ดนับห้าชีวิตก็วิ่งมาหยุดลงตรงหน้าเจ้าพ่อหนุ่ม พร้อมด้วยอาวุธในมือครบครัน เหตุที่วิกเตอร์มาช้า เพราะคืนนี้เขาโดนสั่งห้ามไม่ให้ติดตามอย่างเด็ดขาด โดยเดเรคอ้างว่าอยากออกมาท่องราตรีเพียงลำพัง แต่สุดท้ายเลขาฯ หนุ่มก็อดขัดคำสั่งไม่ได้ เพราะรู้สึกสังหรณ์ใจพิลึก จนมารู้จากตำรวจสายตรวจว่ามีคนวิ่งไล่ยิงกันในบริเวณนี้ พอเขาตามมาดูถึงได้แน่แก่ใจว่าผู้ที่โดนประทุษร้ายคือเจ้านายหนุ่มอย่างที่คาดการณ์เอาไว้นั่นเอง
“เก็บปืนของพวกแกซะ” น้ำเสียงทรงอำนาจออกคำสั่งประกาศิต ขณะปรายตามองเจ้าของร่างเพรียวระหงที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเดเรคก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น เพราะไม่เห็นความตระหนกฉายออกมาทางสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย น่าแปลกยิ่งนักที่ผู้หญิงคนนี้ไม่กลัวปืน
“นายได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าครับ” วิกเตอร์ถามพลางมองเจ้านายหนุ่มสลับกับผู้หญิงแปลกหน้าอย่างงงๆ ก่อนที่อารดาจะขยับมายืนด้านหลัง เพราะคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน และที่สำคัญเธอจะชิ่งหนีทันทีที่มีโอกาส แต่ดูเหมือนว่าความหวังมันจะริบหรี่ เมื่อเขาคว้าเข้าที่ข้อมือกลมกลึง แล้วถึงได้เอ่ยตอบคำถามลูกน้อง
“ฉันปลอดภัยดี”
“ขอโทษครับที่พวกผมมาช้า”
“มันไม่ใช่ความผิดของพวกแกหรอก เพราะฉันเป็นคนสั่งไม่ให้ใครติดตามเอง”
“แล้วคนร้าย…” ก่อนที่คนสนิทจะทันได้กล่าวออกมาให้จบประโยค เดเรคก็โบกมือเป็นเชิงห้ามปราม จากนั้นเขาก็หมุนกายมาหาอารดา
“ผมขอคุยกับลูกน้องก่อนนะทูนหัว แล้วจะกลับมาสานต่อ ‘เรื่องของเรา’ ให้จบ รออยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนเด็ดขาด” คำสั่งของพ่อคนบ้าอำนาจทำให้แม่สาวหัวดื้อถึงกับฉุนกึก
“อย่ามาโมเมนะ ฉันกับคุณ…เราไม่มีเรื่องอะไรจะสานต่อกันทั้งนั้นแหละ” อารดาเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างเหลืออด เพราะคำพูดพล่อยๆ นั้นทำให้ลูกน้องของเขามองเธอเป็นตาเดียวกัน
