บทที่ 6 ปล้นจูบ (150%)

ทันใดนั้นความอัปยศก็มาพร้อมกับอาการ ‘ลมมันเย็น’ เพราะกระโปรงของเธอเปิดอล่างฉ่าง เรียกได้ว่าเผยช่วงล่างสู่สายตาอีกฝ่ายแบบ ‘แกรนด์โอเพนนิ่ง’ เลยทีเดียว

“ว้าย!” ฉับพลันหญิงสาวก็อุทานเสียงหลง พลางดึงกระโปรงลงปิดส่วนสงวนพัลวัน ขอสารภาพว่าตอนนี้เธออายแสนอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อความเป็นจริงแล้ว หนึ่งในสาม ‘ท็อปซีเคร็ต’ ของเธอมันมีอยู่ว่า…ยัยเฉิ่มเช่นอารดาชอบใส่ชุดชั้นในสีแดง รสนิยมอันน่าพิลึกพิลั่นนี้ล้วนถูกถ่ายทอดมาจากมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วทั้งสิ้น เป็นเพราะแม่คนเดียวแท้ๆ ที่ปลูกฝังให้เธอชอบสีแดง โดยให้เหตุผลว่าสีแดงนั้นร้อนแรงและสามารถดึงดูดเพศตรงข้ามได้อย่างดีเยี่ยม ครั้นอารดาปฏิเสธที่จะใส่เสื้อผ้าโทนสีแดงชนิดหัวชนฝา เพราะมันขัดกับบุคลิกของเธออย่างสุดขั้ว แม่ก็ออกแนวบังคับให้ใส่ชุดชั้นในสีแดง โดยอ้างว่ากลัวลูกสาวคนเดียวของนางจะขายไม่ออก มิหนำซ้ำยังพยายามพูดกรอกหูตั้งแต่เล็กยันโต จนเธอจำได้ขึ้นใจว่า….จะถูกจะแพงก็ขอให้แดงไว้ก่อน

‘ฉันเกลียดชุดชั้นในสีแดง’ น้ำเสียงสั่นเครือคร่ำครวญในอก เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นยังคงจับจ้องเบื้องล่างของเธออยู่ ทั้งที่มันถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิดแล้ว อารดาก็แทบควันออกหู

“อย่ามองนะ ไอ้คนลามก!” เจ้าของใบหน้าเห่อร้อนตวาดแว้ด

“ขอมองหน่อยไม่ได้หรือไงยาหยี ก็ผมชอบสีแดงนี่นา ถึงแม้ว่า…มันออกจะขัดกับบุคลิกของคุณไปสักนิด และดูเซ็กซี่แบบขาดๆ เกินๆ ไปสักหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าร้อนแรงแบบแปลกๆ ใช้ได้เลยทีเดียว” แม้สิ่งสวยงามชวนมองจะถูกเจ้าตัวปกปิดไปแล้ว แต่เดเรคก็ยังไม่วายเย้าด้วยสีหน้ากลั้นยิ้ม ยอมรับว่าเขาทึ่งกับบุคลิกขัดแย้งในตัวเองของแม่เจ้าประคุณยิ่งนัก

“อ๊าย…หุบปากไปเลย ไอ้ผู้ชายทุเรศ!” คนที่นั่งอยู่บนพื้นถนนเลือกกลบเกลื่อนความอับอายด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว หนึ่งในสาม ‘ท็อปซีเคร็ต’ ของเธอถูกเปิดเผย แถมยังต้องมาโดนเขาล้อเลียนอีก

‘น่าขายหน้าชะมัด!’ ขณะที่อารดามัวแต่กระดากอาย และรู้สึกเจ็บใจให้กับความเฟอะฟะของตัวเองอยู่นั้น พ่อหนุ่มหล่อเหลือร้ายก็เคลื่อนกายทรงพลังเข้ามาประคองร่างบางให้ลุกขึ้น แต่แม่สาวจอมพยศกลับออกฤทธิ์ตะบึงตะบอน พร้อมขืนกายให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!” น้ำเสียงกระด้างถูกเค้นออกมาจากเรียวปากรูปกระจับเป็นเชิงขับไล่ แล้วเธอก็ออกคำสั่งอย่างอวดดี “ปล่อย”

ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยมือจากร่างบางอย่างหน้าตาเฉย เรียกเสียงหวีดร้องลั่นด้วยความตกใจสุดขีดให้หลุดออกมาจากกลีบปากสีกุหลาบ “กรี๊ด!!!” ก่อนจะตามมาด้วยเสียงอุทานดังสนั่นไม่แพ้กัน

“โอ๊ย!” คราวนี้อารดาล้มลงไปนั่งจุ้มปุกอย่างหมดสภาพ แต่ยังดีที่กระโปรงของเธอไม่เปิดให้ขายหน้าซ้ำสอง

“คนบ้า นี่คุณแกล้งฉันเหรอ!” แม่สาวไซส์เล็กเงยหน้าพรึ่บ แล้วแผดเสียงซักไซ้ด้วยท่าทางเอาเรื่อง

“เปล๊า!” ชายหนุ่มแบมือยักไหล่

“ก็เห็นๆ อยู่ว่าคุณจงใจแกล้งฉัน ยังจะมาปฏิเสธอย่างหน้าด้านๆ อีก”

“ผมแกล้งคุณตรงไหนกันยาหยี คุณบอกให้ผมปล่อย ผมก็ปล่อยแล้วไง” เขายังคงแสร้งตีหน้าตายได้ชวนหมั่นไส้เป็นที่สุด

“คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วละ” เจ้าของเรือนกายเพรียวระหงออกปากขับไล่ด้วยความคับข้องใจเหลือคณา

“ผมอยากอยู่ตรงนี้ แล้วคุณจะทำไม” พ่อคนช่างยั่วยังคงรวนไม่เลิก

“งั้นก็เชิญคุณอยู่ตรงนี้จนรากงอกไปเลยแล้วกัน ส่วนฉันจะเป็นฝ่ายไปเอง” เสียงหวานประชดอย่างเหลืออด พลางพยุงร่างกระปลกกระเปลี้ยของตัวเองลุกขึ้นด้วยท่าทางทุลักทุเล

“มาผมช่วย” คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยื่นมือมาให้ แต่เจ้าของร่างอ้อนแอ้นกลับเชิดหน้าทำเมิน แล้วปฏิเสธอย่างสิ้นเยื่อขาดใยระคนอวดดี

“ไม่จำเป็น!” ประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหยกๆ สอนให้เธอรู้ว่าเจ็บแล้วต้องรู้จักจำ

“แหม…ชอบ ‘ช่วยตัวเอง’ ก็ไม่บอก” วาจาล้อเลียนในทีทำให้คนฟังหน้าร้อนฉ่า

“ไอ้คนทุเรศ!” เสียงหวานตวาดแว้ดเข้าให้

“ว้าว...รู้ทันซะด้วยแฮะ ว่าผมหมายความว่ายังไง” พ่อเจ้าประคุณแสร้งอุทานเสียงดังสนั่น อารดาไม่ได้ตอบโต้หากแต่เลือกที่จะเม้มปากแน่น

“ทำไมฉันต้องมาเจออีตานี่ด้วยนะ ให้ตายเถอะ!” หลังจากลุกขึ้นยืนด้วยสองขาของตัวเองได้สำเร็จ หญิงสาวก็บ่นอุบอย่างหัวเสียสุดๆ

“สงสัยดวงเราจะสมพงศ์กันมั้ง” พ่อคนกวนประสาทเอ่ยขึ้นอย่างลอยๆ ทว่าแววตากลับไหวระริกด้วยความขบขัน ประหนึ่งการต่อปากต่อคำกับเธอเป็นเรื่องน่าอภิรมย์อย่างยิ่งยวด

“เฮอะ…ถึงคราวซวยละสิไม่ว่า” สาวแสบยอกย้อนเสียงขึ้นจมูกอย่างมีอารมณ์เต็มพิกัด จนอยากจะซัดไอ้คนกวนประสาทให้หน้าหงายยิ่งนัก

“ซวยที่ไหนกัน ผมโชคดีจะตาย ที่ได้ ‘จูบแรก’ ของคุณช่วยให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของคนชั่วพวกนั้น” น้ำคำที่หลุดออกมาจากปากหยักทำให้คนฟังหน้าแดงแจ๋

“คุณปล้นจูบฉันต่างหากละ ฉันไม่ได้เต็มใจช่วยคุณเลยสักนิด” อารดาแหงนหน้าเถียงคอเป็นเอ็น

“แล้วคุณอยากได้ ‘จูบ’ เป็นสินน้ำใจไหมล่ะ ผมจะตอบแทนให้ชนิดซาบซ่านถึงทรวงเชียวละ” พ่อตัวโตว่าพลางจงใจทำปากยื่นมาเฉียดเรียวปากอวบอิ่ม ทำเอาหญิงสาวถอยหลังกรูดอย่างตื่นตระหนก เรียกรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากหยักลึก เพราะนึกเอ็นดูในความไร้เดียงสาของคนตัวเล็ก

“ไปตายซะ!” เจ้าของใบหน้าถมึงทึงสาดเสียงกราดเกรี้ยว ปากคอสั่นระริกด้วยความโมโหสุดขีด เธอสมควรจะทำตัวให้สุขุมเยือกเย็น แต่ต้องไม่ใช่ในเวลาที่กำลังสติแตกเช่นนี้!

“โอ๊ะโอ๋…ปากเก่งซะด้วยแฮะ” เดเรคยกมือขึ้นลูบปลายคาง ขณะตอบโต้เสียงกลั้วหัวเราะ แม่สาวตรงหน้าทำให้เขาอารมณ์ดีได้อย่างพิลึก

“ถึงฉันจะดูเป็นผู้หญิงหน้าบ้านๆ ในสายตาคุณ แต่ปากฉันก็ไม่ได้พิการนะยะ แถมมันยังสามารถด่าคุณไปถึงเจ็ดชั่วโคตรเชียวละ” อารดาสวนกลับอย่างไม่กริ่งเกรง

“อื้อหือ…เจ๋งโคตรๆ เลยวุ้ย” ชายหนุ่มลอยหน้าล้อเลียนจนน่าหมั่นไส้

“หลีกไป ฉันจะกลับบ้าน” เสียงหวานขับไล่ด้วยท่าทางขึงขัง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำท่ายกมือขึ้นเสมอไหล่เป็นเชิงยอมแพ้ ทว่ายังไม่วายส่งน้ำเสียงครื้นเครงตามมายั่วแหย่ให้เธอได้ของขึ้น

“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับคุณผู้หญิง” อารดาหันมาค้อนควัก ก่อนจะเชิดหน้าก้าวฉับๆ เดินจากไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังสนั่นของอีกฝ่าย

บทก่อนหน้า
บทถัดไป